วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

น้ำหอม

น้ำหอม
น้ำหอม
ผู้หญิงเรารู้จักน้ำหอมกันมาแต่โบราณกาล ไม่ว่าจะเป็นโลกตะวันออก หรือโลกตะวันตกผู้หญิงทุกคนต่างคิดที่จะขวนขวาย สรรค์สร้างความหอมให้แก่เรือนร่าง อาบโอบผิวกายให้หอมกรุ่น เพื่อความเพลิดเพลินแก่ตัวเอง จะได้มั่นใจว่าตนเองมีกลิ่นกายอันพึงปราถนา กลิ่นหอมบางแนวกลิ่นได้รับความเชื่อว่าเป็นกลิ่นเสน่ห์ นำมาซึ่งอารมณ์รัญจวนพิศวาสของบุรุษเพศ แต่จะเพิ่มอะไรก็ตาม กลิ่นหอมยอมเกิดจากน้ำหอม สร้างสรรค์และได้รับการคิดค้นออกแบบมา โดยมุ่งสร้างความรื่นรมย์ให้แก่ผู้ใช้ และผู้ได้กลิ่น

เวลาใครสักคนได้กลิ่น เขาคนนั้นไม่ได้ใ้ช้เพียงแค่โสตนาสิก แต่ยังลึกซึ้งลงไปถึงก้นบึ้งหัวใจ กลิ่นหอมอันทรงอานุภาพจะทำให้ลืมสิ้นซึ่งเหตุผลทำให้จิตใจเคลิ้มฝันไปกับภวังอารมณ์ เตลิดไปกับความทรงจำ ถลำลึก ลงสู่ห้วงแห่งความรู้สึก กลิ่นหอมคือมนตรามายาที่จะครอบงำจิตใจ คงไม่ผิดอะไรนักหากจะบอกว่าเราเลือก หรือละทิ้งคนรักได้เพราะกลิ่นกาย ไม่แน่หรอกค่ะ น้ำหอมกลิ่นที่เหมาะแก่คุณอาจก่อให้เกิดปัญหารักสามเส้าได้

ในประวัติศาสตร์ มีการบันทึกเรื่องราวที่โยงใยอ้างอิงถึงการผลิต น้ำหอมประเภทต่างๆ รวมถึงในบทประพันธ์ต่างๆของกวีชื่อดัง ย่อมมี รจนาบทว่าด้วยกลิ่นละมุนละไมที่ปรุงแต่งให้อวลไอบนสรรพางค์ผิวของ เหล่านางเอกนิยาย ในคัมภีร์ไบเบิล พระยาสามองค์ได้ถวายกำยานกับ มดยอบให้แก่พระเยซูเจ้าและเครื่องหอม ทั้งสองนี้ยังใช้จุดบูชาในพิธีกรรมต่างๆของคริสตศาสนิกชนมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนชาวอียิปต์ และชาวกรีกโบราณจะมีการเผา หรือถวายเครื่องหอม บูชาพระเจ้าของพวกเขาทุกวัน เมื่อไม่นานมานี้ ยังได้มีการค้นพบ ห้อง ทดลองผลิตน้ำหอม ยุคศตวรรษที่ 6 ถูกสร้างไว้อยู่ติดกับโบสถ์ยิว ใน เอล เกดิ ประเทศอิสราเอล และในพระคัมภีร์โกหร่าน โมฮัมมัดก็กล่าวถึง อำนาจของน้ำหอมอันส่งผลต่อจิตใจของมนุษย์ ทุกวันนี้ อุตสาหกรรม น้ำหอมกลายเป็นความล้ำหน้าทางวิทยาการ และการค้นคว้าทดลอง ซึ่ง เปลี่ยนไปจากครั้งโบราณกาลที่น้ำหอม เครื่องหอม ถือเป็นผลงานแห่งศาตร์มายาลี้ลับ

แต่จะเป็นคัมภีร์ไสยศาสตร์ หรือตำราวิทยาศาสตร์ น้ำหอมก็มีรูปการณ์เดียวกันนั้นคือ ส่งผลกระตุ้นจิตใจ มีอิทธิผลครอบงำอารมณ์ และความรู้สึก กลิ่นหอมเป็นเครื่องมือสื่อสาร ด้วยศิลปวิทยาแห่งผู้ผลิตน้ำหอม หรือเพอร์ฟูมเมอร์ ไม่เพียงแต่เราจะเลือกได้ว่าตัวเราเองควรมีกลิ่นกายเช่นไร หากเรายังเป็นที่จดจำตราตรึงในใจผู้อื่น เป็นผู้สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

การเลือกน้ำหอม

การเลือกน้ำหอม
เลือกน้ำหอม
เลือกน้ำหอม
เวลาเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า หรือร้านเครื่องสำอางต่างๆ คุณจะถูกรายล้อมไปด้วยเคาน์เตอร์น้ำหอมหลากหลายยี่ห้อ หลายกลิ่น และคำถามแรกที่บังเกิดคือ คุณจะเลือกน้ำหอมกลิ่นไหนดี น้ำหอมกลิ่นไหนคือน้ำหอมกลิ่นที่เหมาะสำหรับเราจริงๆ น้ำหอมกลิ่นใดที่จะเติมเต็มความฝันและจินตนาการของเรา ทำให้คนอื่นๆที่ได้กลิ่นตกหลุมรักเราในทันที ทำให้คนรอบข้างเพลินใจกับการได้อยู่ใกล้เรา ได้กลิ่นกายของเราครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างอภิรมย์ "การเลือกน้ำหอมก็เหมือนกับเลือกคนรัก" ศาสตราจารย์ด้านนำหอมของ Guerlain ว่าไว้ "ตอนแรก คุณต้องนอนกับมันก่อนจะได้รู้ว่ากลิ่นนั้นเหมาะ กับคุณแค่ไหน" ถึงเป็นเช่นนั้น ก็มีน้อยคนเหลือเกินที่จะมีน้ำหอมกลิ่น พิเศษสักหนึ่งกลิ่นที่เราจะเรียกไค้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นน้ำหอมของเรา น้ำหอมที่ให้กลิ่นติดกายเราได้อย่างงดงามทั้งกลางวัน และกลางคืน น้ำหอมที่บ่งบอกความเป็นตัวของเราเอง และทำให้เรารู้สึกดี มีพลัง เปี่ยม ไปด้วยความฝัน แล้วก็ตามมาด้วยคำถามที่ว่า เราจะหาทางหากลิ่นน้ำหอม นั้นได้อย่างไร ในปัจจุบันนี้น้ำหอมกลายเป็นแฟชั่น มีการผลิตน้ำหอมออกมา มากมายหลายกลิ่น แต่ละยี่ห้อ แต่ละกลิ่นต่างนำเสนอซึ่งความเป็นแฟชั่น ก่อให้เกิดกระแสสมัยนิยม เหมาะสมแก่อารมณ์ของคนเราในแต่ละช่วง กาลเวลา แน่นอนค่ะ มีน้ำหอมให้เราเลือกมากนัก

ไม่ว่าคุณปรารถนาจะใช้น้ำหอมเพียงกลิ่นเดียวเพื่อให้กลิ่นนั้นบ่งบอก ซึ่งความเป็นคุณ เป็นเอกลักษณ์ของคุณ หรือคุณประสงค์จะอยู่ท่ามกลาง ดงน้ำหอม แวดล้อมไปด้วยหลากขวดหลากสีให้คุณได้เลือกใช้ตามอารมณ์ ปรารถนา ไม่เพียงแค่ลักษณะกลิ่น หากรวมไปถึงระดับความเข้มข้น ของกลิ่นว่าเป็นเพอร์ฟูม แฟรเช่ ทัวเลตต์ หรือโคโลญจน์ ไปจนถึงบอดี้สเปรย์ คุณจงแน่ใจเถอะค่ะว่านี่เป็นการตัดสินใจของคุณ ไม่ใช่คล้อยตาม ไปกับโฆษณา อยากทันสมัยตามโฆษณา เป็นสาวนำแฟชั่น เลยใช้น้ำหอม ที่เขาโฆษณา อย่าลืมว่าน้ำหอมในยุคนี้คือธุรกิจร้อยล้านเหรียญ และน้ำหอม กลายเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไปเสียแล้ว แต่เดิมที น้ำหอมนั้น เป็นผลงานที่สรรค์สร้างขึ้นอย่างมีศิลปะ เป็นงานศิลป์ที่ผู้สร้างสรรค์ น้ำหอมในกาลเก่าก่อนต้องใช้เวลานับหลายๆปี เพื่อให้กลิ่นหอมสมบูรณ์ แทบสักกลิ่น การจะให้ได้มาซึ่งสูตรส่วนผสมน้ำหอมสักกลิ่นนั้นไม่ไต้ แตกต่างไปจากการสอดประสานแต่งเพลง หรือสร้างภาพจิตรกรรมเลอเลิศ โดๆของศิลปิน ในยุคนั้น น้ำหอมปราศจากการเกี่ยวข้องกับการตลาด ใม่จำเป็นต้องมีทีมโฆษณา มีเพียงน้ำหอม กลิ่นหอมที่ให้สตรีผู้มีจิตใจ พิสมัยในศิลปะแห่งการใช้ชีวิตอย่างงดงามได้เสือกสรร เพื่อให้ได้สิ่งซึ่ง แสดงออกถึงบุคลิกเอกภาพแห่งตัวเธอเป็นที่สุด

ทุกวันนี้น้ำหอมกลิ่นใหม่ๆไม่ไต้เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ ของคนๆเดียวหากเป็นของทีมงานบริษัท ซึ่งจะเกิดขึ้นบนแนวคิดของยี่ห้อ, การผลิต, การตลาด, การโฆษณา และการจัดจำหน่าย และน้ำหอมไม่ได้หมายความว่าจะ “หอม” เสมอไป มีน้ำหอมหลายกลิ่นที่ทำให้คุณกลายเป็นสาวปวดประสาทได้ ผู้หญิงบางคนใช้เวลาทดสอบ เลือกหาน้ำหอมเป็นเวลานาน ในขณะที่หลายคนจะดมกลิ่นจากกระดาษเทสเตอร์ และบอกตัวเองว่า “หอมดี ฉันมีเงินซื้อ” เวลาคุณเลือกน้ำหอมสักกลิ่น จงไว้ใจในประสาทสัมผัสทางโสตนาสิกของคุณ ปิดหู (ให้พ้นจากถ้อยพรรณนาชวนเชื่อของพนักงานขาย) ปิดตา (ให้พ้น จากดีไซน์สวยหรู หรือโก้เก๋ของขวดน้ำหอม)ก่อนตัดสินใจ ขอตัวอย่าง น้ำหอม หรือฉีดน้ำหอมลงกระดาษเทสเตอร์ หรือกระดาษไดอารี่ในร้าน ยิ้มหวานให้พนักงาน แล้วโกยแน่บกลับบ้าน อย่ารีบร้อน อย่าทำตัวให้ตกเป็น เป้าการขาย อย่าปล่อยตัวให้เคลิ้มไปกับโฆษฌาชวนเชื่อ ตัดสินใจจาก ความคิดของคุณที่มีต่อกลิ่นหอมนั้น คุณเป็นคนใช้น้ำหอม มิใช่ใครอื่น เพราะคนเรามีจมูกรูปร่างไม่เหมือนกัน ดังนั้น ประสาทในการดมกลิ่น และรับรู้กลิ่นจะเหมือนกันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้

วิธีการเรียนรู้ถึงกลิ่น น้ำหอม

วิธีการเรียนรู้ถึงกลิ่น น้ำหอม
เลือกกลิ่นน้ำหอม
1.คุณจะรู้จักน้ำหอมแต่ละยี่ห้อ แต่ละกลิ่นได้จากน้ำหอมที่เพื่อนคุณใช้ หน้านิตยสารโฆษณาที่มีตัวอย่างน้ำหอมติดมา การจัดเคาน์เตอร์อันน่าดึงดูดใจในห้าง อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดสนใจ มีอะไรบางอย่างในน้ำหอมนั้นๆดึงดูดคุณ จงขวนขวายหาความรู้ก่อนว่าแนวกลิ่นหอมนั้น เป็นน้ำหอมแนวกลิ่นอะไร ก่อกำเนิดมาจากการผสมผสานของกลิ่นอะไรบ้าง เพื่อให้คุณมีความรู้ ความเข้าใจต่อกลิ่นน้ำหอมนั้นเป็นอันดัีบแรก

2.ถ้าคุณคิดว่าแนวกลิ่นนั้น น่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมที่คุณพึงพอใจ และเหมาะสมกับคุณ เดินเชิดหน้าไปยังเคาน์เตอร์ ขอให้พนักงานฉีดน้ำหอมตัวอย่างลงกับกระดาษเทสเตอร์ แล้วก็ลองดมกลิ่นดูหลังจากทิ้งไว้สัก3-5นาที ถามตัวเองว่าพอใจไหม

3.กลับบ้าน เมื่อถึงบ้าน ดมกลิ่นหอมที่กระดาษนั้นอีกครั้ง ถามตัวเองว่าคุณยังชอบกลิ่นหอมที่พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาอยู่หรือเปล่า

4.สี่ชั่วโมงให้หลัง หรือาจรอจนถึงวันรุ่งขึ้น ดมกลิ่นดูอีกครั้ง ถ้าคุณไม่ชอบกลิ่นนั้นแล้วก็โยนกระดาษทิ้งไป บอกตัวเองว่าคุณไม่ชอบมันแล้ว มันไม่ทำให้คุณพอใจ ลืมไปว่ามีน้ำหอมกลิ่นนั้น แต่ถ้าคุณยังชอบน้ำหอมกลิ่นนี้อยู่หลังจากชั่วข้ามคืน คุณจง...

5.กลับไปที่เคาน์เตอร์น้ำหอมนั้นอีกครั้ง ฉีดน้ำหอมลงตรงชีพจรข้อมือทิ้งไว้ 3-5นาที แล้วดมกลิ่นว่าสัมผัสแรกของน้ำหอมบนผิวคุณนั้นเป็นเช่นไร

6.ทิ้งไว้สัก3-4ชั่วโมง ดมกลิ่นดูอีกสักครั้งว่าเมื่อกลิ่นหอมทำปฎิกิริยากับสารเคมีบนผิวของคุณแล้ว เปลี่ยนไปอย่างไร ยังหอมอยู่หรือเปล่า

7.เมื่อกลับถึงบ้าน ดมกลิ่นหอมดูอีกสักครั้งว่าการพัฒนาของกลิ่น ยังให้กลิ่นที่คุณพึงพอใจอยู่หรือไม่ ถ้าคุณยังรู้สึกพิเศษกบักลิ่นหอมนั้น บอกได้เลยว่านั้นคือน้ำหอมของคุณ

จำไว้นะคะ แต่ละคนมีประสาทการรับรู้กลิ่นต่างกัน มีลักษณะสภาพผิวต่างกัน มีบุคลิคนิสัยต่างกัน มีรสนิยมต่างกัน มีลักษณะสภาพผิวต่างกัน มีบุคลิคนิสัยต่างกัน มีรสนิยมต่างกัน การเรียนรู้ที่จะหาน้ำหอมซึ่งมีกลิ่นเหมาะสมแก่คุณ ทำให้คุณรู้สึกพิเศษ นั้นอาจเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของคุณ

โลกแห่งน้ำหอม

โลกแห่งน้ำหอม

โลกแห่งน้ำหอม
โลกแห่งน้ำหอม
น้ำหอมก็เหมือนกับเมคอัพ เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ ชี้ให้เห็นถึงสมัยนิยม การเปลี่ยนแปลงแนวคิดและทัศนคติอันดำเนินไปกับกาลเวลา น้ำหอมสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม สังคม ศิลปะ และธุรกิจอุตสาหกรรม ถ้าเราพิจารณากันสักนิดถึงน้ำหอมที่มีกลิ่นอันงดงามที่สุด น้ำหอมกลิ่นยอดนิยมที่สุดของศตวรรษที่ยี่สิบ เราจะได้เห็นมากกว่ารายการส่วนผสม เราจะแลเห็นซึ่งเหตุการณ์สำคัญต่างๆทางประวัติศาสตร์ของศตวรรษ ผลกระทบจากการเติบโตของเมือง อุตสหกรรมและ ความก้าวหน้าทางวิทยาการ สิทธิสตรีและการเคลื่อนไหวทางแนวคิดเรื่องเพศของผู้หญิง อิทธิพลของผู้บริโภค และอำนาจแห่งเงินตรา

อุตสาหกรรมน้ำหอมยุคใหม่นี้ เรียกได้ว่าเป็นผลิตผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมเครื่องหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำถุงมือหนังยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 16 ยุคนั้น ถุงมือหนังเป็นแฟชั่น และตัวชี้ถึงสถานะทางสังคมกระบวนการทำให้ถุงมือมีสีเข้มนั้นเกี่ยวข้องกับการใช้สารยูเรียเพื่อทำให้ถุงมือหนังไม่มีกลิ่นสาบ

ไม่นานนัก เมืองกราสส์ซึ่งอยู่ทางใต้ของฝรั่งเศสได้เปลี่ยนฐานะของตัวเองจากเมืองผลิตถุงมือไปเป็นเมืองแห่งการผลิตสารปรับสภาพถุงมือท้ายสุดก็กลับกลายเป็นเมืองหลวงแห่งน้ำหอม เนื่องจากสภาพอากาศที่ดียิ่ง ทำให้ดอกไม้เบ่งบานสะพรั่งพร้อมสรรพ กุหลาบ ลาเวนเดอร์ และมะลิพากันผลิบานขานรับ อุตสาหกรรมน้ำหอมยุคใหม่

Guerlain บริษัทน้ำหอมแห่งแรก

Guerlain บริษัทน้ำหอมแห่งแรก
Guerlain ได้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1828 ณ กรุงปารีส เป็นการเริ่มยุค สมัยแห่งธุรกิจน้ำหอมอย่างแท้จริง ในวันนี้ Guerlain ถือเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำหอมที่ยิ่งยงตราบนานที่สุดของโลกความโดดเด่นที่ทำให้ทุกคนต้องจันตามอง Guerlainนั้นคือการเขย่าบัลลังก์อาณาจักรน้ำหอมของอังกฤษ ในยุควิคตอเรียน อดีตกาลนั้น การทำนํ้าหอมของอังกฤษ เกิดขึ้นจากแนวคิดเรียบง่าย น้ำหอมแนวกลิ่นเดียวจากหัวน้ำหอมชนิดเดียว ซึ่งมักได้จากน้ำสกัดจากดอกไม้เพียงอย่างเดียว ให้ความรู้สึกเซ็กซี่ได้เท่าไหร่

น้ำหอมสุดฮิตของแผ่นดิน อังกฤษย่อมเลี่ยงไม่พ้นกุหลาบกับลาเวนเดอร์ ซึ่งสุภาพสตรี ทั้งหลายจะแตะพรมให้กลิ่นติดผ้าเช็ดหน้า หัวน้ำหอมต้องห้ามนันคือกลิ่นของ musk (ชะมด) รวมถึงการใช้น้ำหอมใดๆที่มีกลิ่นโน้มนำรัญจวนอารมณ์ให้ถวิลหาไปทางเพศ ทว่า Guerlain ไต้หักล้างกฎเกณฑ์ทั้งปวง

น้ำหอม Jicky
น้ำหอม Jicky
ด้วยการสร้างสรรค์กลิ่นน้ำหอมต่าง ขึ้นมาจากการสอดประสานแนวกลิ่นมากมายให้กลายเป็นกลิ่นหอมเดียวที่มีลำดับการพัฒนาของกลิ่น อย่างเช่น น้ำหอม Jicky ในปี ค.ศ 1889 น้ำหอมกลิ่นที่ดูธรรมดา แต่พัฒนาตัวคลี่คลายสยายความรู้สึกเร้าอารมณ์บนผิวกายเมื่อเวลาผ่านไปสักสองสามชั่วโมง นอกจากนั้น บริษัทยังคัดสรรใช้เฉพาะส่วนผสมทรงคุณภาพ และคุณค่าโดยไม่ใส่ใจว่าจะหายากเพียงใด หรือสกัดกลั่นกรองได้ลำบากแค่ไหนรวมถึงการทำลายกำแพงกีดกั้นให้ประจักษ์ถึงสิ่งที่เป็นไปได้ และเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากล

น้ำหอม Mitsou
น้ำหอม Mitsou
สิ่งที่น่าตื่นเต้นของน้ำหอม Jicky นั้นคือ Jicky ไม่ใช่น้ำหอมที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างสรรค์ธรรมชาติ แต่Jicky ใช้ส่วนผสมใหม่อีกสองกลิ่น อันถือเป็นนวัตกรรมแห่งวงการน้ำหอมในยุคนั้น นั้นคือ coumarin และ vanillin ซึ่งนับเป็นกลิ่นหอมที่ทันสมัยมากในสมัยนั้น เป็นการเปิดโลกใหม่ อาณาจักรใหม่ของน้ำหอมอย่างแท้จริง ส่วน L'Heure Bleue อันชวนให้ดื่มด่ำเร้าใจในปี ค.ศ. 1912 นั้นก่อให้เกิดวังวนในบรรยากาศแห่งยุคแบ็ลล์ อีพ็อค (Belle epoque) อย่างสมบูรณ์ (แบ็ลล์ อีพ็อคเป็นศิลปะในช่วงทศวรรษที่ 20 ถ้าคุณอยากรู้ถึงบรรยากาศเช่นนั้น ไปหาภาพยนตร์เรื่อง Titanic ซึ่งแสดงโดย ลีโอนาร์โด เดอคาปริโอ กับ เคท วินสเล็ทมาดู ทุกอย่างในตัวเรือคือบรรยากาศศิลปะแห่งแบ็ลล์ อีพ็อค)

และเมื่อน้ำหอม Mitsouko ออกมาปรากฎตัวในปี 1919 กลิ่นหอมท้าทายที่ได้จากเปลือกพีชสุก (ถือเป็นส่วนผสมที่ค้นพบขึ้นใหม่ในยุคนั้น) เป็นที่จับใจสุภาพสตรีในยุคหลังสงคราม ให้ความรู้สึกลึกซึ้งแห่งจิตวิญญาณศิลปะแบบ อาร์ต นูโว (Art Nouveau) ทว่าShalimar กลับเป็นน้ำหอมอีกรูปการณ์อย่างสิ้นเชิง น้ำหอมกลิ่น Shalimar เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1925 ในฐานะน้ำหอมกลิ่นคร่าใจชายให้ด่าวดิ้นสิ้นชีพ น้ำหอมกลิ่นนี้เป็นผลงานสร้างสรรค์ของ ฌาคส์ เกอร์แลง (Jacques Guerlain) ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบกลิ่นมาจากความรักของจักรพรรดิองค์ที่สามแห่งราชวงศ์มองโกลในอินเดีย ที่ทรงมีให้แก่พระชายาคือ พระนางมุมตัล มาฮาล ทรงมีรับสั่งให้สร้างราชอุทยาน เพื่อเป็นบรรณาการแห่งพระนางในละฮอร์ อุทยานนี้มีชื่อว่า ชาลิมาร์ (เมื่อพระนางมุมตัล มาฮาล สิ้นพนะชนม์ พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้สร้างทัชมาฮาล์ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรัก ความอาลัยกลายเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดของโลก)
น้ำหอม shalimar
น้ำหอม shalimar
นี้คือกลิ่นน้ำหอมที่ให้ความรู้สึกรัก ความเร่าร้อนยวนเสน่ห์ แฝงไว้ด้วยความอ่อนหวานหวามไหว บรรจุอยู่ในขวด ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้นึกถึงศิลปกรรมโลกตะวันออก และนี่คืออีกศักราชแห่งอาณาจักรของน้ำหอม

ในยุคนี้บรรดาผู้สร้างสรรค์น้ำหอม หรือกลิ่นหอมที่เรียกว่าเพอร์ฟูมเมอร์ต่างเป็นนายชะตาตัวเอง ชีวิตของพวกเขาดำเนินไปอย่างงดงามด้วยการอุปถัมภ์ของบรรดาชนชั้นสูง สูงศักดิ์ สูงฐานะที่มีปัญญาจะสรรซื้อน้ำหอมของพวกเขาได้ พวกเขาสามารถผสมผสานผลงานใหม่ๆอันน่าจับตาขึ้นมาได้เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเกิดแรงบันดาลใจ หรือค้นพบส่วนผสมใหม่ๆขึ้นเพอร์ฟูมเมอร์บางคนทำงานเป็นศิลปินอิสระ บ้างก็เปิดร้านเล็กๆเป็นของตัวเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเอกลักษณ์พิเศษของพวกเขา รวมถึงบุคลิคนิสัย และความชำนาญเฉพาะอย่าง หนึ่งในนั้นคือ ฟรังซัวส์ โคตี้ (Francois Coty) ผู้ยิ่งใหญ่ จุดหมายของเขาคือใช้ส่วนผสมสังเคราะห์ใหม่ๆ มาผลิตน้ำหอมคุณภาพดี ราคาเหมาะสมให้ซื้อหากันได้อย่างสบายๆ ในหมู่ชนชั้นกลางผู้มีฐานะดี

Francois Coty
Francois Coty
น้ำหอม L'Origan ในปี ค.ศ. 1905 น้ำหอม Chypre ในปี 1917 และ L'Aimant ในปี 1927 กลายเป็นน้ำหอมคลาสสิคยอดนิยม เพราะแต่ละกลิ่นล้วนก่อให้เกิดอารมณ์ใหม่ที่แตกต่าง น้ำหอมที่มีกลิ่นเร้าอารมณ์เปิดเผย และไม่หรูหราเลิศลอยเกินเอื้อม นี่คือน้ำหอมสำหรับทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น ฟรังซัวส์ โคตี้ เริ่มแนวทางการตลาด และการโฆษณาให้แก่ผลิตภัณฑ์น้ำหอมด้วยการเพิ่มภาพต่างๆ ที่แลเห็นเป็นตัวเป็นตนเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจ ตระหนักรู้ถึงกลิ่นน้ำหอม

แฟชั่นกับน้ำหอม

แฟชั่นกับน้ำหอม

โลกของแฟชั่นได้ปฎิวัติวงการน้ำหอมไปเสียสิ้นอันที่จริงจะว่าไปแล้ว แฟชั่นการแต่งกายก้ทำให้วงการน้ำหอมเป็อย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ปัจจุบัน ดีไซเนอร์ หรือนักออกแบบเสื้อผ้าดังๆทุกยี่ห้อล้วนมีน้ำหอมยี่ห้อของตัวเอง ซึ่งท่าทางจะสร้างรายได้ให้พวกเขามากกว่าการขายเสื้อผ้าเสียอีก (ไม่ว่าจะเป็น Chanel, Christian Dior, Giorgio Armani, Issey Miyake, Kenzo และอื่นๆอีกเหลือคณา) อีกทั้งน้พหอมเหล่านี้ น่าจะสร้างชื่อเสียงผ่านทางสื่อต่างๆได้อย่างมากเมื่อเปรียบดูแล้ว เราเห็นโฆษณาน้ำหอมมากกว่าโฆษณาเสื้อผ้า หรือภาพการแสดงแบบเสื้อบนเวทีเสียด้วยซ้ำ

Paul Poiret
Paul Poiret
น้ำหอมยี่ห้อดีไซเนอร์กลิ่นใหม่ๆที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้เป็นเพราะกลิ่น แต่ยังรวมถึงชื่อเสียงของดีไซเนอร์นั้นๆและการวางแผนทางการตลาดที่ดี อันที่จริง ถ้าคุณออกไปข้างนอก และกวาดตามอง คุณจะเจอผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าของ  Jean Paul Gaultier, Yves Saint Laurent, Christian Dior, Givenchy และยี่ห้อดังๆอื่นๆ แค่ไม่กี่คน แต่หลายคนจะใช้น้ำหอม หรือเครื่องสำอางค์ยี่ห้อเหล่านี้ ซึ่งนั้นก็อาจรวมถึงตัวคุณเองด้วยเช่นกัน

พอล ปัวเรต์ (Paul Poiret) เป็นคูตูริเยต์ (Couturier = นักออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นชั้นสูง) ผู้เริ่มนำพาน้ำหอมเข้าสู่อาณาจักรแฟชั่น เพราะเขาเป็นคนรักน้ำหอมมาก เขาจึงผลิตน้ำหอมของเขาออกมาในยุค 1910 โดยไม่มีคูตูริเยต์ หรือ ดีไซเนอร์คนใดได้เคยทำมาก่อน ตอนนั้นเขาขาดความมั่นใจ และกล่าวว่า "จะไม่มีใครใช้น้ำหอมยี่ห้อของช่างทำเสื้อหรอก" เขาก็เลยตั้งชื่อน้ำหอมว่า Les Perfums de Rosine แทนที่จะใช้ชื่อ Poiret ของตัวเองเป็นชื่อยี่ห้อ ผลที่ได้กลับผิดคาด เขาได้รับการต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ทั้งเงินทอง ทั้งความชื่นชอบ เขาคือนักออกแบบคนแรกที่ได้เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์กับแฟชั่นเสื้อผ้าเข้ากับกลิ่นกายให้แก่สตรีเพศ

เขาบอกลูกค้าของเขาว่า "คุณสวมชุดนั้นได้อย่างงดงาม แต่หยดน้ำหอมของผมสักหนึ่งหยดลงบนชายเสื้อ เสื้อผ้าชุดนี้จะช่วยให้คุณสวยคร่าหัวใจ" พอลปัวเรต์ เป็นนักออกแบบเสื้อผ้าคนแรกที่มีน้ำหอมของตนเอง แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่า โกโก้ ชาแนล (Coco Chanel) ต่างหากที่เป็นผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์

Coco Chanel น้ำหอมหมายเลข 5

Coco Chanel น้ำหอมหมายเลข 5

น้ำหอม chanel No.5
น้ำหอม chanel No.5
น้ำหอมที่ใครๆเรียกกันว่า Chanel No.5 ได้เปิดฉากชีวิตสู่สาธารณชนในปี ค.ศ. 1921 ตอนนั้น น้ำหอมนี้ ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น ไม่ได้เป็นเพราะความโด่งดังของ โกโก้ ชาแนล เจ้าของห้องเสื้อ ผู้นำแฟชั่นล้ำสมัยไม่เหมือนใครแต่อย่างเดียว หากตัวน้ำหอมเองก็มีคุณสมบัติพิเศษล้ำเลิศเกินธรรมดา เป็นการช็ํอกวงารน้ำหอมได้อย่างน่าตกตะลึง สืบเนื่องมาจากส่วนผสมน้ำหอมชนิดใหม่คือ aldehydes ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ทรงพลัง

ให้กลิ่นในแนวไขมัน หรือสารเคมีที่มันแว๊กซ์ แต่พอทำลายให้เจือจาง กลิ่นนั้นพลันกลับกลายเป็นกลิ่นหอมชวนให้วูบไหว เพริศพรายบ้างก็กล่าวว่า ทำให้เกิดความรู้สึกซาบซ่านละลานใจเพอร์ฟูมเมอร์ผู้คิดค้นคือ เออร์เนสต์ โบซ์ (Ernest Beaux) ได้เพิ่มความรู้สึกนี้ให้รุนแรงขึ้นด้วยการเติมแต่งกลิ่นหอมของมะลิ ดอกส้ม และกุหลาบพฤษภาที่เรียกกันว่า May Rose จากแคว้นกราสส์ ลงไปสอดผสานกับกระดังงาจากหมู่เกาะคอมโมโร่ ไม้จันทร์จากไมซอร และบูรบองเวติแวร ตัวมาดามชาแนลเองพูดถึงกลิ่นน้ำหอมนี้ว่าเป็น "อ้อมแขนแห่งพฤกษานามธรรม" (หมายถึงดอกไม้ที่ไม่มีตัวตนแท้จริง)

ในช่วงเวลาเดียวกับที่งานศิลป์แบบนามธรรม ผลงานปิกัสโซ่, มอนเดรียน และแกนเดงสกี้ได้เริ่มหยั่งรากลึก และเออร์เนสต์ โบซ์ บรรยายถึงกลิ่นนี้ว่าเป็น "กลิ่นหอมแห่งแดนหิมะ"  จะด้วยอรรถาธิบายอย่างไรก็ตาม ตอนแรก โกโก้ ชาแนล ไม่ได้ขายน้ำหอม แต่เริ่มฉีดพรมให้ทั่วตัว และในที่สาธารณะ เธอเฝ้าจับตาดูปฎิกิริยาของผู้คน จากนั้นอีกไม่นาน เธอก็อบร่ำซาลอนห้องเสื้อของเธอให้กรุ่นไอจรุงกลิ่น No.5 พอมีใครถามเธอว่านี้คือกลิ่นอะไร เธอก็จะตอบว่า "อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกคะ แค่น้ำหอมที่ฉันคิดขึ้นมาไว้ใช้เอง ถ้าคุณอยากได้ ฉันก็จะให้สักขวด" ในไม่ช้า ชาแนล นัมเบอร์ไฟว์ ก็แพร่สะพัดไปทั่วกรุงปารีสประหนึ่งข่าวลือ เมื่อได้นำเสนอสู่สาธารณชน ในที่สุด โกโก้ ชาแนล ก็ทำท่าไม่เต็มใจนัก ทำเหมือนกับถูกมัดมือชกให้ขาย ถึงอย่างไรเสีย น้ำหอมกลิ่นนี้ก็ทำให้ผู้หญิงมีความสุข และที่สำคัญทำให้ชาแนลรวย