วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

น้ำหอม

น้ำหอม
น้ำหอม
ผู้หญิงเรารู้จักน้ำหอมกันมาแต่โบราณกาล ไม่ว่าจะเป็นโลกตะวันออก หรือโลกตะวันตกผู้หญิงทุกคนต่างคิดที่จะขวนขวาย สรรค์สร้างความหอมให้แก่เรือนร่าง อาบโอบผิวกายให้หอมกรุ่น เพื่อความเพลิดเพลินแก่ตัวเอง จะได้มั่นใจว่าตนเองมีกลิ่นกายอันพึงปราถนา กลิ่นหอมบางแนวกลิ่นได้รับความเชื่อว่าเป็นกลิ่นเสน่ห์ นำมาซึ่งอารมณ์รัญจวนพิศวาสของบุรุษเพศ แต่จะเพิ่มอะไรก็ตาม กลิ่นหอมยอมเกิดจากน้ำหอม สร้างสรรค์และได้รับการคิดค้นออกแบบมา โดยมุ่งสร้างความรื่นรมย์ให้แก่ผู้ใช้ และผู้ได้กลิ่น

เวลาใครสักคนได้กลิ่น เขาคนนั้นไม่ได้ใ้ช้เพียงแค่โสตนาสิก แต่ยังลึกซึ้งลงไปถึงก้นบึ้งหัวใจ กลิ่นหอมอันทรงอานุภาพจะทำให้ลืมสิ้นซึ่งเหตุผลทำให้จิตใจเคลิ้มฝันไปกับภวังอารมณ์ เตลิดไปกับความทรงจำ ถลำลึก ลงสู่ห้วงแห่งความรู้สึก กลิ่นหอมคือมนตรามายาที่จะครอบงำจิตใจ คงไม่ผิดอะไรนักหากจะบอกว่าเราเลือก หรือละทิ้งคนรักได้เพราะกลิ่นกาย ไม่แน่หรอกค่ะ น้ำหอมกลิ่นที่เหมาะแก่คุณอาจก่อให้เกิดปัญหารักสามเส้าได้

ในประวัติศาสตร์ มีการบันทึกเรื่องราวที่โยงใยอ้างอิงถึงการผลิต น้ำหอมประเภทต่างๆ รวมถึงในบทประพันธ์ต่างๆของกวีชื่อดัง ย่อมมี รจนาบทว่าด้วยกลิ่นละมุนละไมที่ปรุงแต่งให้อวลไอบนสรรพางค์ผิวของ เหล่านางเอกนิยาย ในคัมภีร์ไบเบิล พระยาสามองค์ได้ถวายกำยานกับ มดยอบให้แก่พระเยซูเจ้าและเครื่องหอม ทั้งสองนี้ยังใช้จุดบูชาในพิธีกรรมต่างๆของคริสตศาสนิกชนมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนชาวอียิปต์ และชาวกรีกโบราณจะมีการเผา หรือถวายเครื่องหอม บูชาพระเจ้าของพวกเขาทุกวัน เมื่อไม่นานมานี้ ยังได้มีการค้นพบ ห้อง ทดลองผลิตน้ำหอม ยุคศตวรรษที่ 6 ถูกสร้างไว้อยู่ติดกับโบสถ์ยิว ใน เอล เกดิ ประเทศอิสราเอล และในพระคัมภีร์โกหร่าน โมฮัมมัดก็กล่าวถึง อำนาจของน้ำหอมอันส่งผลต่อจิตใจของมนุษย์ ทุกวันนี้ อุตสาหกรรม น้ำหอมกลายเป็นความล้ำหน้าทางวิทยาการ และการค้นคว้าทดลอง ซึ่ง เปลี่ยนไปจากครั้งโบราณกาลที่น้ำหอม เครื่องหอม ถือเป็นผลงานแห่งศาตร์มายาลี้ลับ

แต่จะเป็นคัมภีร์ไสยศาสตร์ หรือตำราวิทยาศาสตร์ น้ำหอมก็มีรูปการณ์เดียวกันนั้นคือ ส่งผลกระตุ้นจิตใจ มีอิทธิผลครอบงำอารมณ์ และความรู้สึก กลิ่นหอมเป็นเครื่องมือสื่อสาร ด้วยศิลปวิทยาแห่งผู้ผลิตน้ำหอม หรือเพอร์ฟูมเมอร์ ไม่เพียงแต่เราจะเลือกได้ว่าตัวเราเองควรมีกลิ่นกายเช่นไร หากเรายังเป็นที่จดจำตราตรึงในใจผู้อื่น เป็นผู้สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

การเลือกน้ำหอม

การเลือกน้ำหอม
เลือกน้ำหอม
เลือกน้ำหอม
เวลาเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า หรือร้านเครื่องสำอางต่างๆ คุณจะถูกรายล้อมไปด้วยเคาน์เตอร์น้ำหอมหลากหลายยี่ห้อ หลายกลิ่น และคำถามแรกที่บังเกิดคือ คุณจะเลือกน้ำหอมกลิ่นไหนดี น้ำหอมกลิ่นไหนคือน้ำหอมกลิ่นที่เหมาะสำหรับเราจริงๆ น้ำหอมกลิ่นใดที่จะเติมเต็มความฝันและจินตนาการของเรา ทำให้คนอื่นๆที่ได้กลิ่นตกหลุมรักเราในทันที ทำให้คนรอบข้างเพลินใจกับการได้อยู่ใกล้เรา ได้กลิ่นกายของเราครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างอภิรมย์ "การเลือกน้ำหอมก็เหมือนกับเลือกคนรัก" ศาสตราจารย์ด้านนำหอมของ Guerlain ว่าไว้ "ตอนแรก คุณต้องนอนกับมันก่อนจะได้รู้ว่ากลิ่นนั้นเหมาะ กับคุณแค่ไหน" ถึงเป็นเช่นนั้น ก็มีน้อยคนเหลือเกินที่จะมีน้ำหอมกลิ่น พิเศษสักหนึ่งกลิ่นที่เราจะเรียกไค้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นน้ำหอมของเรา น้ำหอมที่ให้กลิ่นติดกายเราได้อย่างงดงามทั้งกลางวัน และกลางคืน น้ำหอมที่บ่งบอกความเป็นตัวของเราเอง และทำให้เรารู้สึกดี มีพลัง เปี่ยม ไปด้วยความฝัน แล้วก็ตามมาด้วยคำถามที่ว่า เราจะหาทางหากลิ่นน้ำหอม นั้นได้อย่างไร ในปัจจุบันนี้น้ำหอมกลายเป็นแฟชั่น มีการผลิตน้ำหอมออกมา มากมายหลายกลิ่น แต่ละยี่ห้อ แต่ละกลิ่นต่างนำเสนอซึ่งความเป็นแฟชั่น ก่อให้เกิดกระแสสมัยนิยม เหมาะสมแก่อารมณ์ของคนเราในแต่ละช่วง กาลเวลา แน่นอนค่ะ มีน้ำหอมให้เราเลือกมากนัก

ไม่ว่าคุณปรารถนาจะใช้น้ำหอมเพียงกลิ่นเดียวเพื่อให้กลิ่นนั้นบ่งบอก ซึ่งความเป็นคุณ เป็นเอกลักษณ์ของคุณ หรือคุณประสงค์จะอยู่ท่ามกลาง ดงน้ำหอม แวดล้อมไปด้วยหลากขวดหลากสีให้คุณได้เลือกใช้ตามอารมณ์ ปรารถนา ไม่เพียงแค่ลักษณะกลิ่น หากรวมไปถึงระดับความเข้มข้น ของกลิ่นว่าเป็นเพอร์ฟูม แฟรเช่ ทัวเลตต์ หรือโคโลญจน์ ไปจนถึงบอดี้สเปรย์ คุณจงแน่ใจเถอะค่ะว่านี่เป็นการตัดสินใจของคุณ ไม่ใช่คล้อยตาม ไปกับโฆษณา อยากทันสมัยตามโฆษณา เป็นสาวนำแฟชั่น เลยใช้น้ำหอม ที่เขาโฆษณา อย่าลืมว่าน้ำหอมในยุคนี้คือธุรกิจร้อยล้านเหรียญ และน้ำหอม กลายเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไปเสียแล้ว แต่เดิมที น้ำหอมนั้น เป็นผลงานที่สรรค์สร้างขึ้นอย่างมีศิลปะ เป็นงานศิลป์ที่ผู้สร้างสรรค์ น้ำหอมในกาลเก่าก่อนต้องใช้เวลานับหลายๆปี เพื่อให้กลิ่นหอมสมบูรณ์ แทบสักกลิ่น การจะให้ได้มาซึ่งสูตรส่วนผสมน้ำหอมสักกลิ่นนั้นไม่ไต้ แตกต่างไปจากการสอดประสานแต่งเพลง หรือสร้างภาพจิตรกรรมเลอเลิศ โดๆของศิลปิน ในยุคนั้น น้ำหอมปราศจากการเกี่ยวข้องกับการตลาด ใม่จำเป็นต้องมีทีมโฆษณา มีเพียงน้ำหอม กลิ่นหอมที่ให้สตรีผู้มีจิตใจ พิสมัยในศิลปะแห่งการใช้ชีวิตอย่างงดงามได้เสือกสรร เพื่อให้ได้สิ่งซึ่ง แสดงออกถึงบุคลิกเอกภาพแห่งตัวเธอเป็นที่สุด

ทุกวันนี้น้ำหอมกลิ่นใหม่ๆไม่ไต้เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ ของคนๆเดียวหากเป็นของทีมงานบริษัท ซึ่งจะเกิดขึ้นบนแนวคิดของยี่ห้อ, การผลิต, การตลาด, การโฆษณา และการจัดจำหน่าย และน้ำหอมไม่ได้หมายความว่าจะ “หอม” เสมอไป มีน้ำหอมหลายกลิ่นที่ทำให้คุณกลายเป็นสาวปวดประสาทได้ ผู้หญิงบางคนใช้เวลาทดสอบ เลือกหาน้ำหอมเป็นเวลานาน ในขณะที่หลายคนจะดมกลิ่นจากกระดาษเทสเตอร์ และบอกตัวเองว่า “หอมดี ฉันมีเงินซื้อ” เวลาคุณเลือกน้ำหอมสักกลิ่น จงไว้ใจในประสาทสัมผัสทางโสตนาสิกของคุณ ปิดหู (ให้พ้นจากถ้อยพรรณนาชวนเชื่อของพนักงานขาย) ปิดตา (ให้พ้น จากดีไซน์สวยหรู หรือโก้เก๋ของขวดน้ำหอม)ก่อนตัดสินใจ ขอตัวอย่าง น้ำหอม หรือฉีดน้ำหอมลงกระดาษเทสเตอร์ หรือกระดาษไดอารี่ในร้าน ยิ้มหวานให้พนักงาน แล้วโกยแน่บกลับบ้าน อย่ารีบร้อน อย่าทำตัวให้ตกเป็น เป้าการขาย อย่าปล่อยตัวให้เคลิ้มไปกับโฆษฌาชวนเชื่อ ตัดสินใจจาก ความคิดของคุณที่มีต่อกลิ่นหอมนั้น คุณเป็นคนใช้น้ำหอม มิใช่ใครอื่น เพราะคนเรามีจมูกรูปร่างไม่เหมือนกัน ดังนั้น ประสาทในการดมกลิ่น และรับรู้กลิ่นจะเหมือนกันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้

วิธีการเรียนรู้ถึงกลิ่น น้ำหอม

วิธีการเรียนรู้ถึงกลิ่น น้ำหอม
เลือกกลิ่นน้ำหอม
1.คุณจะรู้จักน้ำหอมแต่ละยี่ห้อ แต่ละกลิ่นได้จากน้ำหอมที่เพื่อนคุณใช้ หน้านิตยสารโฆษณาที่มีตัวอย่างน้ำหอมติดมา การจัดเคาน์เตอร์อันน่าดึงดูดใจในห้าง อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดสนใจ มีอะไรบางอย่างในน้ำหอมนั้นๆดึงดูดคุณ จงขวนขวายหาความรู้ก่อนว่าแนวกลิ่นหอมนั้น เป็นน้ำหอมแนวกลิ่นอะไร ก่อกำเนิดมาจากการผสมผสานของกลิ่นอะไรบ้าง เพื่อให้คุณมีความรู้ ความเข้าใจต่อกลิ่นน้ำหอมนั้นเป็นอันดัีบแรก

2.ถ้าคุณคิดว่าแนวกลิ่นนั้น น่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมที่คุณพึงพอใจ และเหมาะสมกับคุณ เดินเชิดหน้าไปยังเคาน์เตอร์ ขอให้พนักงานฉีดน้ำหอมตัวอย่างลงกับกระดาษเทสเตอร์ แล้วก็ลองดมกลิ่นดูหลังจากทิ้งไว้สัก3-5นาที ถามตัวเองว่าพอใจไหม

3.กลับบ้าน เมื่อถึงบ้าน ดมกลิ่นหอมที่กระดาษนั้นอีกครั้ง ถามตัวเองว่าคุณยังชอบกลิ่นหอมที่พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาอยู่หรือเปล่า

4.สี่ชั่วโมงให้หลัง หรือาจรอจนถึงวันรุ่งขึ้น ดมกลิ่นดูอีกครั้ง ถ้าคุณไม่ชอบกลิ่นนั้นแล้วก็โยนกระดาษทิ้งไป บอกตัวเองว่าคุณไม่ชอบมันแล้ว มันไม่ทำให้คุณพอใจ ลืมไปว่ามีน้ำหอมกลิ่นนั้น แต่ถ้าคุณยังชอบน้ำหอมกลิ่นนี้อยู่หลังจากชั่วข้ามคืน คุณจง...

5.กลับไปที่เคาน์เตอร์น้ำหอมนั้นอีกครั้ง ฉีดน้ำหอมลงตรงชีพจรข้อมือทิ้งไว้ 3-5นาที แล้วดมกลิ่นว่าสัมผัสแรกของน้ำหอมบนผิวคุณนั้นเป็นเช่นไร

6.ทิ้งไว้สัก3-4ชั่วโมง ดมกลิ่นดูอีกสักครั้งว่าเมื่อกลิ่นหอมทำปฎิกิริยากับสารเคมีบนผิวของคุณแล้ว เปลี่ยนไปอย่างไร ยังหอมอยู่หรือเปล่า

7.เมื่อกลับถึงบ้าน ดมกลิ่นหอมดูอีกสักครั้งว่าการพัฒนาของกลิ่น ยังให้กลิ่นที่คุณพึงพอใจอยู่หรือไม่ ถ้าคุณยังรู้สึกพิเศษกบักลิ่นหอมนั้น บอกได้เลยว่านั้นคือน้ำหอมของคุณ

จำไว้นะคะ แต่ละคนมีประสาทการรับรู้กลิ่นต่างกัน มีลักษณะสภาพผิวต่างกัน มีบุคลิคนิสัยต่างกัน มีรสนิยมต่างกัน มีลักษณะสภาพผิวต่างกัน มีบุคลิคนิสัยต่างกัน มีรสนิยมต่างกัน การเรียนรู้ที่จะหาน้ำหอมซึ่งมีกลิ่นเหมาะสมแก่คุณ ทำให้คุณรู้สึกพิเศษ นั้นอาจเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของคุณ

โลกแห่งน้ำหอม

โลกแห่งน้ำหอม

โลกแห่งน้ำหอม
โลกแห่งน้ำหอม
น้ำหอมก็เหมือนกับเมคอัพ เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ ชี้ให้เห็นถึงสมัยนิยม การเปลี่ยนแปลงแนวคิดและทัศนคติอันดำเนินไปกับกาลเวลา น้ำหอมสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม สังคม ศิลปะ และธุรกิจอุตสาหกรรม ถ้าเราพิจารณากันสักนิดถึงน้ำหอมที่มีกลิ่นอันงดงามที่สุด น้ำหอมกลิ่นยอดนิยมที่สุดของศตวรรษที่ยี่สิบ เราจะได้เห็นมากกว่ารายการส่วนผสม เราจะแลเห็นซึ่งเหตุการณ์สำคัญต่างๆทางประวัติศาสตร์ของศตวรรษ ผลกระทบจากการเติบโตของเมือง อุตสหกรรมและ ความก้าวหน้าทางวิทยาการ สิทธิสตรีและการเคลื่อนไหวทางแนวคิดเรื่องเพศของผู้หญิง อิทธิพลของผู้บริโภค และอำนาจแห่งเงินตรา

อุตสาหกรรมน้ำหอมยุคใหม่นี้ เรียกได้ว่าเป็นผลิตผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมเครื่องหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำถุงมือหนังยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 16 ยุคนั้น ถุงมือหนังเป็นแฟชั่น และตัวชี้ถึงสถานะทางสังคมกระบวนการทำให้ถุงมือมีสีเข้มนั้นเกี่ยวข้องกับการใช้สารยูเรียเพื่อทำให้ถุงมือหนังไม่มีกลิ่นสาบ

ไม่นานนัก เมืองกราสส์ซึ่งอยู่ทางใต้ของฝรั่งเศสได้เปลี่ยนฐานะของตัวเองจากเมืองผลิตถุงมือไปเป็นเมืองแห่งการผลิตสารปรับสภาพถุงมือท้ายสุดก็กลับกลายเป็นเมืองหลวงแห่งน้ำหอม เนื่องจากสภาพอากาศที่ดียิ่ง ทำให้ดอกไม้เบ่งบานสะพรั่งพร้อมสรรพ กุหลาบ ลาเวนเดอร์ และมะลิพากันผลิบานขานรับ อุตสาหกรรมน้ำหอมยุคใหม่

Guerlain บริษัทน้ำหอมแห่งแรก

Guerlain บริษัทน้ำหอมแห่งแรก
Guerlain ได้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1828 ณ กรุงปารีส เป็นการเริ่มยุค สมัยแห่งธุรกิจน้ำหอมอย่างแท้จริง ในวันนี้ Guerlain ถือเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำหอมที่ยิ่งยงตราบนานที่สุดของโลกความโดดเด่นที่ทำให้ทุกคนต้องจันตามอง Guerlainนั้นคือการเขย่าบัลลังก์อาณาจักรน้ำหอมของอังกฤษ ในยุควิคตอเรียน อดีตกาลนั้น การทำนํ้าหอมของอังกฤษ เกิดขึ้นจากแนวคิดเรียบง่าย น้ำหอมแนวกลิ่นเดียวจากหัวน้ำหอมชนิดเดียว ซึ่งมักได้จากน้ำสกัดจากดอกไม้เพียงอย่างเดียว ให้ความรู้สึกเซ็กซี่ได้เท่าไหร่

น้ำหอมสุดฮิตของแผ่นดิน อังกฤษย่อมเลี่ยงไม่พ้นกุหลาบกับลาเวนเดอร์ ซึ่งสุภาพสตรี ทั้งหลายจะแตะพรมให้กลิ่นติดผ้าเช็ดหน้า หัวน้ำหอมต้องห้ามนันคือกลิ่นของ musk (ชะมด) รวมถึงการใช้น้ำหอมใดๆที่มีกลิ่นโน้มนำรัญจวนอารมณ์ให้ถวิลหาไปทางเพศ ทว่า Guerlain ไต้หักล้างกฎเกณฑ์ทั้งปวง

น้ำหอม Jicky
น้ำหอม Jicky
ด้วยการสร้างสรรค์กลิ่นน้ำหอมต่าง ขึ้นมาจากการสอดประสานแนวกลิ่นมากมายให้กลายเป็นกลิ่นหอมเดียวที่มีลำดับการพัฒนาของกลิ่น อย่างเช่น น้ำหอม Jicky ในปี ค.ศ 1889 น้ำหอมกลิ่นที่ดูธรรมดา แต่พัฒนาตัวคลี่คลายสยายความรู้สึกเร้าอารมณ์บนผิวกายเมื่อเวลาผ่านไปสักสองสามชั่วโมง นอกจากนั้น บริษัทยังคัดสรรใช้เฉพาะส่วนผสมทรงคุณภาพ และคุณค่าโดยไม่ใส่ใจว่าจะหายากเพียงใด หรือสกัดกลั่นกรองได้ลำบากแค่ไหนรวมถึงการทำลายกำแพงกีดกั้นให้ประจักษ์ถึงสิ่งที่เป็นไปได้ และเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากล

น้ำหอม Mitsou
น้ำหอม Mitsou
สิ่งที่น่าตื่นเต้นของน้ำหอม Jicky นั้นคือ Jicky ไม่ใช่น้ำหอมที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างสรรค์ธรรมชาติ แต่Jicky ใช้ส่วนผสมใหม่อีกสองกลิ่น อันถือเป็นนวัตกรรมแห่งวงการน้ำหอมในยุคนั้น นั้นคือ coumarin และ vanillin ซึ่งนับเป็นกลิ่นหอมที่ทันสมัยมากในสมัยนั้น เป็นการเปิดโลกใหม่ อาณาจักรใหม่ของน้ำหอมอย่างแท้จริง ส่วน L'Heure Bleue อันชวนให้ดื่มด่ำเร้าใจในปี ค.ศ. 1912 นั้นก่อให้เกิดวังวนในบรรยากาศแห่งยุคแบ็ลล์ อีพ็อค (Belle epoque) อย่างสมบูรณ์ (แบ็ลล์ อีพ็อคเป็นศิลปะในช่วงทศวรรษที่ 20 ถ้าคุณอยากรู้ถึงบรรยากาศเช่นนั้น ไปหาภาพยนตร์เรื่อง Titanic ซึ่งแสดงโดย ลีโอนาร์โด เดอคาปริโอ กับ เคท วินสเล็ทมาดู ทุกอย่างในตัวเรือคือบรรยากาศศิลปะแห่งแบ็ลล์ อีพ็อค)

และเมื่อน้ำหอม Mitsouko ออกมาปรากฎตัวในปี 1919 กลิ่นหอมท้าทายที่ได้จากเปลือกพีชสุก (ถือเป็นส่วนผสมที่ค้นพบขึ้นใหม่ในยุคนั้น) เป็นที่จับใจสุภาพสตรีในยุคหลังสงคราม ให้ความรู้สึกลึกซึ้งแห่งจิตวิญญาณศิลปะแบบ อาร์ต นูโว (Art Nouveau) ทว่าShalimar กลับเป็นน้ำหอมอีกรูปการณ์อย่างสิ้นเชิง น้ำหอมกลิ่น Shalimar เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1925 ในฐานะน้ำหอมกลิ่นคร่าใจชายให้ด่าวดิ้นสิ้นชีพ น้ำหอมกลิ่นนี้เป็นผลงานสร้างสรรค์ของ ฌาคส์ เกอร์แลง (Jacques Guerlain) ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบกลิ่นมาจากความรักของจักรพรรดิองค์ที่สามแห่งราชวงศ์มองโกลในอินเดีย ที่ทรงมีให้แก่พระชายาคือ พระนางมุมตัล มาฮาล ทรงมีรับสั่งให้สร้างราชอุทยาน เพื่อเป็นบรรณาการแห่งพระนางในละฮอร์ อุทยานนี้มีชื่อว่า ชาลิมาร์ (เมื่อพระนางมุมตัล มาฮาล สิ้นพนะชนม์ พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้สร้างทัชมาฮาล์ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรัก ความอาลัยกลายเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดของโลก)
น้ำหอม shalimar
น้ำหอม shalimar
นี้คือกลิ่นน้ำหอมที่ให้ความรู้สึกรัก ความเร่าร้อนยวนเสน่ห์ แฝงไว้ด้วยความอ่อนหวานหวามไหว บรรจุอยู่ในขวด ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้นึกถึงศิลปกรรมโลกตะวันออก และนี่คืออีกศักราชแห่งอาณาจักรของน้ำหอม

ในยุคนี้บรรดาผู้สร้างสรรค์น้ำหอม หรือกลิ่นหอมที่เรียกว่าเพอร์ฟูมเมอร์ต่างเป็นนายชะตาตัวเอง ชีวิตของพวกเขาดำเนินไปอย่างงดงามด้วยการอุปถัมภ์ของบรรดาชนชั้นสูง สูงศักดิ์ สูงฐานะที่มีปัญญาจะสรรซื้อน้ำหอมของพวกเขาได้ พวกเขาสามารถผสมผสานผลงานใหม่ๆอันน่าจับตาขึ้นมาได้เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเกิดแรงบันดาลใจ หรือค้นพบส่วนผสมใหม่ๆขึ้นเพอร์ฟูมเมอร์บางคนทำงานเป็นศิลปินอิสระ บ้างก็เปิดร้านเล็กๆเป็นของตัวเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเอกลักษณ์พิเศษของพวกเขา รวมถึงบุคลิคนิสัย และความชำนาญเฉพาะอย่าง หนึ่งในนั้นคือ ฟรังซัวส์ โคตี้ (Francois Coty) ผู้ยิ่งใหญ่ จุดหมายของเขาคือใช้ส่วนผสมสังเคราะห์ใหม่ๆ มาผลิตน้ำหอมคุณภาพดี ราคาเหมาะสมให้ซื้อหากันได้อย่างสบายๆ ในหมู่ชนชั้นกลางผู้มีฐานะดี

Francois Coty
Francois Coty
น้ำหอม L'Origan ในปี ค.ศ. 1905 น้ำหอม Chypre ในปี 1917 และ L'Aimant ในปี 1927 กลายเป็นน้ำหอมคลาสสิคยอดนิยม เพราะแต่ละกลิ่นล้วนก่อให้เกิดอารมณ์ใหม่ที่แตกต่าง น้ำหอมที่มีกลิ่นเร้าอารมณ์เปิดเผย และไม่หรูหราเลิศลอยเกินเอื้อม นี่คือน้ำหอมสำหรับทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น ฟรังซัวส์ โคตี้ เริ่มแนวทางการตลาด และการโฆษณาให้แก่ผลิตภัณฑ์น้ำหอมด้วยการเพิ่มภาพต่างๆ ที่แลเห็นเป็นตัวเป็นตนเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจ ตระหนักรู้ถึงกลิ่นน้ำหอม

แฟชั่นกับน้ำหอม

แฟชั่นกับน้ำหอม

โลกของแฟชั่นได้ปฎิวัติวงการน้ำหอมไปเสียสิ้นอันที่จริงจะว่าไปแล้ว แฟชั่นการแต่งกายก้ทำให้วงการน้ำหอมเป็อย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ปัจจุบัน ดีไซเนอร์ หรือนักออกแบบเสื้อผ้าดังๆทุกยี่ห้อล้วนมีน้ำหอมยี่ห้อของตัวเอง ซึ่งท่าทางจะสร้างรายได้ให้พวกเขามากกว่าการขายเสื้อผ้าเสียอีก (ไม่ว่าจะเป็น Chanel, Christian Dior, Giorgio Armani, Issey Miyake, Kenzo และอื่นๆอีกเหลือคณา) อีกทั้งน้พหอมเหล่านี้ น่าจะสร้างชื่อเสียงผ่านทางสื่อต่างๆได้อย่างมากเมื่อเปรียบดูแล้ว เราเห็นโฆษณาน้ำหอมมากกว่าโฆษณาเสื้อผ้า หรือภาพการแสดงแบบเสื้อบนเวทีเสียด้วยซ้ำ

Paul Poiret
Paul Poiret
น้ำหอมยี่ห้อดีไซเนอร์กลิ่นใหม่ๆที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้เป็นเพราะกลิ่น แต่ยังรวมถึงชื่อเสียงของดีไซเนอร์นั้นๆและการวางแผนทางการตลาดที่ดี อันที่จริง ถ้าคุณออกไปข้างนอก และกวาดตามอง คุณจะเจอผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าของ  Jean Paul Gaultier, Yves Saint Laurent, Christian Dior, Givenchy และยี่ห้อดังๆอื่นๆ แค่ไม่กี่คน แต่หลายคนจะใช้น้ำหอม หรือเครื่องสำอางค์ยี่ห้อเหล่านี้ ซึ่งนั้นก็อาจรวมถึงตัวคุณเองด้วยเช่นกัน

พอล ปัวเรต์ (Paul Poiret) เป็นคูตูริเยต์ (Couturier = นักออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นชั้นสูง) ผู้เริ่มนำพาน้ำหอมเข้าสู่อาณาจักรแฟชั่น เพราะเขาเป็นคนรักน้ำหอมมาก เขาจึงผลิตน้ำหอมของเขาออกมาในยุค 1910 โดยไม่มีคูตูริเยต์ หรือ ดีไซเนอร์คนใดได้เคยทำมาก่อน ตอนนั้นเขาขาดความมั่นใจ และกล่าวว่า "จะไม่มีใครใช้น้ำหอมยี่ห้อของช่างทำเสื้อหรอก" เขาก็เลยตั้งชื่อน้ำหอมว่า Les Perfums de Rosine แทนที่จะใช้ชื่อ Poiret ของตัวเองเป็นชื่อยี่ห้อ ผลที่ได้กลับผิดคาด เขาได้รับการต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ทั้งเงินทอง ทั้งความชื่นชอบ เขาคือนักออกแบบคนแรกที่ได้เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์กับแฟชั่นเสื้อผ้าเข้ากับกลิ่นกายให้แก่สตรีเพศ

เขาบอกลูกค้าของเขาว่า "คุณสวมชุดนั้นได้อย่างงดงาม แต่หยดน้ำหอมของผมสักหนึ่งหยดลงบนชายเสื้อ เสื้อผ้าชุดนี้จะช่วยให้คุณสวยคร่าหัวใจ" พอลปัวเรต์ เป็นนักออกแบบเสื้อผ้าคนแรกที่มีน้ำหอมของตนเอง แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่า โกโก้ ชาแนล (Coco Chanel) ต่างหากที่เป็นผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์

Coco Chanel น้ำหอมหมายเลข 5

Coco Chanel น้ำหอมหมายเลข 5

น้ำหอม chanel No.5
น้ำหอม chanel No.5
น้ำหอมที่ใครๆเรียกกันว่า Chanel No.5 ได้เปิดฉากชีวิตสู่สาธารณชนในปี ค.ศ. 1921 ตอนนั้น น้ำหอมนี้ ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น ไม่ได้เป็นเพราะความโด่งดังของ โกโก้ ชาแนล เจ้าของห้องเสื้อ ผู้นำแฟชั่นล้ำสมัยไม่เหมือนใครแต่อย่างเดียว หากตัวน้ำหอมเองก็มีคุณสมบัติพิเศษล้ำเลิศเกินธรรมดา เป็นการช็ํอกวงารน้ำหอมได้อย่างน่าตกตะลึง สืบเนื่องมาจากส่วนผสมน้ำหอมชนิดใหม่คือ aldehydes ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ทรงพลัง

ให้กลิ่นในแนวไขมัน หรือสารเคมีที่มันแว๊กซ์ แต่พอทำลายให้เจือจาง กลิ่นนั้นพลันกลับกลายเป็นกลิ่นหอมชวนให้วูบไหว เพริศพรายบ้างก็กล่าวว่า ทำให้เกิดความรู้สึกซาบซ่านละลานใจเพอร์ฟูมเมอร์ผู้คิดค้นคือ เออร์เนสต์ โบซ์ (Ernest Beaux) ได้เพิ่มความรู้สึกนี้ให้รุนแรงขึ้นด้วยการเติมแต่งกลิ่นหอมของมะลิ ดอกส้ม และกุหลาบพฤษภาที่เรียกกันว่า May Rose จากแคว้นกราสส์ ลงไปสอดผสานกับกระดังงาจากหมู่เกาะคอมโมโร่ ไม้จันทร์จากไมซอร และบูรบองเวติแวร ตัวมาดามชาแนลเองพูดถึงกลิ่นน้ำหอมนี้ว่าเป็น "อ้อมแขนแห่งพฤกษานามธรรม" (หมายถึงดอกไม้ที่ไม่มีตัวตนแท้จริง)

ในช่วงเวลาเดียวกับที่งานศิลป์แบบนามธรรม ผลงานปิกัสโซ่, มอนเดรียน และแกนเดงสกี้ได้เริ่มหยั่งรากลึก และเออร์เนสต์ โบซ์ บรรยายถึงกลิ่นนี้ว่าเป็น "กลิ่นหอมแห่งแดนหิมะ"  จะด้วยอรรถาธิบายอย่างไรก็ตาม ตอนแรก โกโก้ ชาแนล ไม่ได้ขายน้ำหอม แต่เริ่มฉีดพรมให้ทั่วตัว และในที่สาธารณะ เธอเฝ้าจับตาดูปฎิกิริยาของผู้คน จากนั้นอีกไม่นาน เธอก็อบร่ำซาลอนห้องเสื้อของเธอให้กรุ่นไอจรุงกลิ่น No.5 พอมีใครถามเธอว่านี้คือกลิ่นอะไร เธอก็จะตอบว่า "อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกคะ แค่น้ำหอมที่ฉันคิดขึ้นมาไว้ใช้เอง ถ้าคุณอยากได้ ฉันก็จะให้สักขวด" ในไม่ช้า ชาแนล นัมเบอร์ไฟว์ ก็แพร่สะพัดไปทั่วกรุงปารีสประหนึ่งข่าวลือ เมื่อได้นำเสนอสู่สาธารณชน ในที่สุด โกโก้ ชาแนล ก็ทำท่าไม่เต็มใจนัก ทำเหมือนกับถูกมัดมือชกให้ขาย ถึงอย่างไรเสีย น้ำหอมกลิ่นนี้ก็ทำให้ผู้หญิงมีความสุข และที่สำคัญทำให้ชาแนลรวย

น้ำหอมที่แพงที่สุด

น้ำหอมที่แพงที่สุด

น้ำหอม jeanne_lanvin
ในปี ค.ศ. 1927 ฌวง ลองแวง (Jeanne Lanvin) ซึ่งบัดนี้เป็นห้องเสื้อที่เก่าแก่ที่สุดในปารีสได้นำเสนอน้ำหอมสุดโก้อย่างไม่น่าเชื่อนาม Arpege ออกมาสู่เวทีแห่งน้ำหอมในยุคนั้น น้ำหอมกลิ่นนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามเอาชนะธรรมชาติ และสร้างสรรค์หลิ่นหอมของดอกไม้อะไรสักอย่างที่จะเย้ยหยันมวลดอกไม้ในทุ่งท้องกว้างแห่งแคว้นกราสส์ให้ได้อาย จาก ฌอง ปาตู (Jean Patou) ผู้หรูหรา และอาจหาญ เขามั่นใจมากได้ออกน้ำหอม Joy มาใน ปีเดียวกับหลังจากที่หุ้นวอลล์สตรีทล้มพับ ธุรกิจหุ้นพังกันไปเป็นแถบๆ สภาพเศรษกิจตกต่ำ เขากลับสวนกระแสเงินตราด้วยการสร้างภาพลักษณะให้แก่ Joy ว่าเป็น "น้ำหอมที่แพงที่สุดในโลก" อันก่อกำเนิดจากช่อผกาเลอค่า ท้าทายเงินในกระเป๋านั่นคือดอกเมย์ โรส และมะลิหายาก ตอนที่อองรี อัลเมอราส์ เสนอน้ำหอมตัวอย่างให้ ฌอง ปาตู เขาก็ใช้

กลยุทธ์เดียวกับ โกโก้ ชาแนล ประวัติศาสตร์ หรือตำนานบอกเราว่าเขาพยายามจะกั๊กน้ำหอม อิดออด ไม่อยากขาย โดยอ้างว่ามันแพงเกินไปเลอค่าทากเกินกว่าจะนำเสนอต่อสาธราณะ แน่นอน น้ำหอมชื่อ Joy แปลว่า ความสุข หรือความสนุก เของน้ำหอมก็สนุกกับการได้เห็นปฎิกิริยาของผู้ซื้อ เรารักความคิดที่ว่าไม่มีอะไรแพงเกินไป หรือหรูหราเกินไปสำหรับลุกค้าของเขา ตำนานน้ำหอมได้เริ่มต้นขึ้น


น้ำหอมสู่ธุรกิจเงินล้าน

น้ำหอมสู่ธุรกิจเงินล้าน

ก่อนหน้านี้ เพอฟูมเมอร์ธรรมดา กับเพอร์ฟูมเมอร์ของยี่ห้อผลิตภัณฑ์ชั้นสูงนั้นมีฐานะทัดเทียมกัน ทำงานกันอย่างมีความสุขหากการเปลี่ยแปลงทางเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับผันแปรทุกอย่าง ร้านน้ำหอมรายย่อย รายเล็ก มิอาจเที่ยบเทียมบริษัทน้ำหอมดังๆได้

และหลายบริษัทเล็กๆที่ถูกเบียดจนตกขอบตกต้องปิดตัวเองไป การผลิตน้ำหอมเปลี่ยนแนวทางจากการเป็นสินค้าพิเศษเฉพาะกลุ่มไปสู่การผลิตน้ำหอมแบบเอาใจตลาด จากงานศิลปะกลายเป็นงานมวลชน ดูเหมือนว่าถ้าอุตสาหกรรมน้ำหอมต้องการอยู่รอด ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องการมีการสนับสนุนด้านการเงิน พูดง่ายๆคือเงินต้องหนา ผิดกับแต่ก่อน ที่การอยู่รอดของน้ำหอมจะขึ้นอยู่กับเพอร์ฟูมเมอร์

ตอนเอลซ่า เชียปาเรลลิ (Elsa Schiaparelli) ผู้ถูก โกโก้ ชาแนล คู่แข่งเรียกด้วยสมญาว่า "แม่อิตาเลี่ยนคนนั้น" ได้ออกน้ำหอมกลิ่นต่างๆของเธอออกมา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึง Shocking น้ำหอมกลิ่นสุดเซ็กซี่ในช่วงต้นทศวรร 1920


น้ำหอมสู่ธุรกิจเงินล้าน
 เธอได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่แห่งวงการน้ำหอมอีกครา เพราะนอกจากเธอจะทำการตลาดให้น้ำหอมตัวเอง โดยอาศัยภาพเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ เธอก็ยังจ้าง ทีมงาน เพื่อผลิตน้ำหอมเป็นการเอิกเกริก แทนที่จะใช้เพอร์ฟูมเมอร์เพียงคนเดียวอย่างที่ยี่ห้ออื่นปฎิบัติกันมา

ทีมงานหรือ compound house ที่ถูกว่าจ้างมาให้ผลิตน้ำหอมยุคนั้น ถูกมองว่าน่าจะจ้างมาผลิตน้ำผลไม้เสียมากกว่า เพราะทีมนี้เป็นบริษัทที่จะดูแลตั้งแต่การคิดค้นสูตรส่วนผสม มีห้องเคมี มีหน่วยติดต่อวัตถุดิบ และมีฝ่ายดูแลเรื่องการค้าส่งน้ำหอม ที่สำคัญคือ เชียปาเรลลิเป็นห้องเสื้อชั้นสูงแห่งแรกที่จ้างทีมงานแบบนี้มาผลิตน้ำหอม

อันนับว่าเป็นการเปลี่ยนผันขนบแห่งอุตสาหกรรมน้ำหอมโดยสิ้นเชิง ไม่มีการผลิตน้ำหอมโดยอาศัย เพอร์ฟูมเมอร์คนเดียวประกอบการแบบ exclusive ดูเล็กๆ เป็นส่วนตัวอีกต่อไป การทำธุรกิจน้ำหอมเปลี่ยนจากกิจการซึ่งดำเนินงานโดย กลุ่มเพอร์ฟูมเมอร์หรือมือสมัครเล่นไปเป็นอุตสหกรรมการค้าขนาดใหญ่หลังสงคราม

ในวันนี้ น้ำหอมชื่อดัง ขายดีทั้งหลายเป็นผลงานผลิตจากบริษัทประเภท compound house อย่างเช่น Quest, IFF Firmenich และ Givaudan-Roure เป็นต้น คุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อบริษัทพวกนี้ แต่เหล่าบริษัทเหล่านี้หละคือ ขุมกำลังหลังบัลลังก์อันหรูหรา บรรดาเพอฟูมเมอร์ทั้งหลาย บัดนี้ต่างทำงานให้กับอาณาจักรเรือนล้านเหล่านี้ โดยจะแบ่งเวลาเพื่อคิดค้นน้ำหอมใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าส่วนบุคคลเป็นรายๆ และทำงานในห้องแล็ปของยักษ์ใหญ่ ผู้ผลิตเพื่อคิดค้นส่วนผสมใหม่ๆ

แต่บริษัทอุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่ได้ผลิตน้ำหอมป้อนเฉพาะบริษัทเครื่องสำอาง เจ้าของน้ำหอมยี่ห้อดีไซเนอร์ รายได้ก้อนโตของบริษัทนั้นมาจากการปรุงกลิ่น ปรุงรสสำหรับอาหาร รวมไปถึงหัวน้ำหอม เพื่อใช้กับทุกอย่าง ตั้งแต่สบู่ แป้งโรยตัว ไปจนถึงกระดาษชำระ อันที่จริง เพอฟูมเมอร์หนุ่มสาวรุ่นใหม่ทุกคนมักจะมาเริ่มงานกันที่นี้ เริ่มจากการสร้างสรรค์กลิ่นหอมสำหรับใช้กับข้าวของธรรมดา ของใช้ประจำวันในตรัวเรือนก่อนพัฒนาไปสู่การสรรค์สร้างกลิ่นหอมสำหรับน้ำหอมละเมียดละไมให้แก่ยี่ห้อดีไซเนอร์ดังๆทั้งหลาย

เพราะ compound house เหล่านี้เป็นองค์กรขนาดใหญ่จากการผลิตสินค้ามวลชน จึงมีเงินหนา และเงินเหล่านี้เองที่อำนวยให้มีการคิดค้นเพื่อวิทยาการทันสมัยล้ำยุคสำหรับการผลิตน้ำหอม

ตระกูลของน้ำหอม

ตระกูลของน้ำหอม

ตระกูลน้ำหอม
ตระกูลน้ำหอม
น้ำหอมทุกกลิ่น ไม่ว่าจะมีมานานจนเป็นน้ำหอมคลาสสิคของโลก หรือเพิ่งเกิดใหม่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จาก Shalimar มาสู่ Fragilic จาก Paco Rabannc มาสู่ DKNY ต่างก็สืบสายวงศ์วานเครือโยงใยกันไปได้ห้าตระกูลกลิ่นหอมนั้นคือ

น้ำหอมตระกูลดอกไม้ (floral)
น้ำหอมตระกูลตะวันออก (oriental)
น้ำหอมตระกูลพงพนาป่าทึบ (chypre)
น้ำหอมตระกูลเฟิร์น (fougere)
น้ำหอมตระกูลอากาศธาตุ (ozonic)

ซึ่งในแต่ละตระกูลยังแตกแขนงไปได้อีกหลายเทือกเถาเหล่ากอ ประเภทที่เรียกว่าแต่งงานข้ามตระกูลมีลูกมีหลานเหลนโหลนกันต่อมาอย่างเช่น ตระกูลดอกไม้-ผลไม้ (floral-fruity), อำพัน-ป่า(amber-chypre), เครื่องเทศ-อำพัน(spicy-amber) หรือ ดอกไม้-ตะวันออก(floral-oriental) เป็นต้น

ซึ่งการแตกตระกูลนี้เราจะเรียกว่าแนวกลิ่น อย่างไรก็ดี จะเป็นน้ำหอมในแนวกลิ่นใดย่อมมีรกรากมาจากฐานตระกูลใดตระกูลหนึ่ง

น้ำหอมตระกูลดอกไม้

น้ำหอมตระกูลดอกไม้(floral)

ในยุคแรกๆนั้น น้ำหอมทั้งหลายล้วนเป็นน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ น้ำมันกุหลาบกับน้ำดอกไม้ลาเวนเดอร์เป็นงานศิลปะชั้นสูงของเพอร์ฟูมเมอร์ และได้รับการพิจารณาว่าเป็นกลิ่นที่แสดงออกถึงความเป็นสุภาพสตรี สำหรับสาวๆในยุคนั้น มาถึงยุคนี้ กลิ่นน้ำหอมแนวดอกไม้ถูกพัฒนาให้สร้างความรู้สึกทรงเสน่ห์ ชวนให้ตื่นเต้น ก้าวจากสุภาพสตรีมาเป็นผู้หญิงกระตุ้นอารมณ์ ก่อให้บังเกิดภาพแห่งสวนฤดูร้อนฉ่ำหยาดน้ำค้าง อวบไอกลิ่นหอมหวานของ sweet pea, freesia, lilac, lily และ carnation หรือช่อดอกไม้สดแห่งฤดูร้อน เช่น hyacinth กับ paper white

การเลือกน้ำหอมตระกูล floral นี้ถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด เพราะกลิ่นแนวนี้ไม่รุนแรงจนเกินไป ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกการเรียกร้องต้องการจนโจ่งแจ้ง หรือเข้มข้นจนกลายเป็นฉุนเสียจนไม่กล้าใช้ กลิ่นแนวนี้จะอ่อนหวาน ละเมียดละไม แสดงออกถึงความเป็นผู้หญิง เป็นกลิ่นหอมเลอค่าหายาก งดงามดุจดอกไม้ที่เพอฟูมเมอร์ทั้งหลายพยายามรังสรรค์กันขึ้นมา

ตัวอย่างน้ำหอมแนวกลิ่น floral

Annick Goutal กลิ่น Gardenia Passion
Caron กลิ่้น Fleur de Rocaille
Chloe กลิ่น Chloe
Christian Dior กลิ่น Diorissimo
Clinique กลิ่น Happy
Estee Lauder กลิ่น Pleasures
Jean Patou กลิ่น Joy
Jo Malone กลิ่น Red Roses
L'Artisan Parfumeur กลิ่น Mimosa Pour Moi
Lancome กลิ่น Miracle
Prescriptive กลิ่น Calyx
Ralph Lauren กลิ่น Romance


น้ำหอม Gardenia Passion
น้ำหอม Gardenia Passion

น้ำหอมตระกูลตะวันออก

น้ำหอมตระกูลตะวันออก(Oriental)

น้ำหอมแนวกลิ่นoriental ให้ความรู้สึกเซ็กซี่ เป็นกลิ่นที่ไออุ่นกำซาบซ่าน เหมาะสำหรับค่ำคืนสดชื่นเย็นสบาย ยังความเร่าร้อนแบบโลกตะวันออก (พึงทำความเข้าใจกันก่อนนะคะว่า เร่าร้อนแบบโลกตะวันออก มักจะหมายถึงอินเดีย) บางกลิ่นอาจรุนแรง เข้มข้น เสมือนอบร่ำเครื่องเทศกำยาน และติดทนนานไปจนถึงวันรุ่งขึ้น

น้ำหอมเหล่านี้มักมีส่วนผสมหลํกเป็น ambergris หรือไขจากลำไส้ปลาวาฬ (ซึ่งเมื่อผ่านกรรมวิธีจะให้กลิ่นอุ่น นุ่มนวลที่เข้มข้นทนนาน) ผสมผสานกับไม้หอม เครื่องเทศ และบ่อยครั้งที่จะสอดแทรกดอกไม้สดลงไปเพื่อหักล้างความฉันเฉียวเข้มข้นให้จางลงเป็นความสดชื่นรื่นรมย์

ตัวอย่างน้ำหอมแนวกลิ่น oriental

Calvin Klein กลิ่น Obsession
Cartier กลิ่น Must de Cartier
Chanel กลิ่น Coco
Estee Lauder กลิ่น Cinnabar
Estee Lauder กลิ่น Youth Dew
Guerlain กลิ่น Shalimar
Guerlain กลิ่น Samasara
L'Artisan Perfumeur กลิ่น L'Eau d'Ambre
Shiseido กลิ่น Feminite du Bois
Shiseido กลิ่น Zen
Yves Saint Laurent กลิ่น Opium


น้ำหอม Feminite du Bois
น้ำหอม Feminite du Bois


น้ำหอมตระกูลพงพนาป่าทึบ


น้ำหอมตระกูลพงพนาป่าทึบ (Chypre)

น้ำหอมแนวกลิ่นนี้ให้กลิ่นที่ชวนให้นึกถึงป่าฤดูใบไม้ร่วง และดงต้นมอสส์ บ่อยครั้งที่จะมีแนวกลิ่นหอม อันได้จากสรรพสัตว์ต่างๆ กลิ่น chypre ที่คลาสสิคจะกอปรขึ้นจากกลิ่นของโอ๊กมอสส์, ไม้จันทร์, และชะมด สอดผสานด้วยกุหลาบกับมะลิ บางครั้งอาจปรุงแต่งด้วยการบีบมะนาวให้มีกลิ่นหอมเย็นสดใสไว้เป็นกลิ่นแรก

ตัวอย่างน้ำหอมแนวกลิ่น chypre

Christian Dior กลิ่น Miss Dior
Coty กลิ่น Chypre de Coty
Clinique กลิ่น Aromatics Elixir
Givenchy กลิ่น Givenchy III
Hermes กลิ่น Caleche
Jo Malone กลิ่น Fleur de la Foret
Paloma Picasso กลิ่น Paloma Picasso

น้ำหอม Miss Dior
 น้ำหอม Miss Dior

น้ำหอมตระกูลเฟิร์น


น้ำหอมตระกูลเฟิร์น(Fougere)

เฟิร์นในภาษาฝรั่งเศสอ่านว่าฟูเกร์ แต่ในความเป็นจริงแล้วเฟิร์นไม่มีกลิ่น ดังนั่น กลิ่นน้ำหอมตระกูลนี้ ถือเป็นกลิ่นหอมในจินตนาการ ซึ่งหอม แต่ไม่มีอะไรเหมือนเฟิร์นโดยธรรมชาติเลย กลิ่นนี้ได้รับการสรรค์สร้างขึ้นโดย อูบิกองต์(Houbigant) ในปี ค.ศ. 1882 กลิ่นหอมอบอุ่น สดชื่นเหมือนแป้งเย็นที่ไม่ซาบซ่า ด้วยกลิ่นหอมของลาเวนเดอร์กับเฟรช เฮย์ หรือฟางสด ก่อให้เกิดเป็นน้ำหอม Houbigant Fougere Royale ที่ท้าทาย และได้รับความนิยมอย่างสูง เพราะไม่มีกลิ่นธรรมชาติใดๆ เหมือนกลิ่นนี้ นี้คือการสร้างสรรค์ความหอมโดยไม่ได้ลอกเลียนแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง

แต่เป็นบางสิ่งที่จินตนาการ ว่ามีอยู่ในธรรมชาติ เป็นการเปิดศักราชใหม่ให้แก่อุตสหกรรมน้ำหอม ในปัจจุบันนี้ น้ำหอมแนวกลิ่น fougere ถือเป็นสายพันธุ์ใหม่ของน้ำหอม เป็นวัตกรรมทางกลิ่นเพราะกลิ่นหอมแบบนี้เป็นกลิ่นที่ไม่จำแนกเพศ เป็นน้ำหอมที่ใช้ได้ทั้งหญิงและชาย

ให้ความรู้สึกเร่าร้อน สดชื่น ระคนกลิ่นหอมป่าแห้ง และลาเวนเดอร์

ตัวอย่างน้ำหอมแนวกลิ่น fougere

Calvin Klein กลิ่น CK Be
Estee Lauder กลิ่น Alliage
Faberge กลิ่น Brut
Guerlain กลิ่น Jicky
Kenzo กลิ่น Fluer par Kenzo

น้ำหอม Fluer par Kenzo
น้ำหอม Fluer par Kenzo




น้ำหอมตระกูลอากาศธาตุ

น้ำหอมตระกูลอากาศธาตุ(Ozonic)

บางคนเรียกน้ำหอมอวกาศ กำลังมาแรงในโลกน้ำหอมก่อนก้าวสู่สหัสวรรษที่สาม เป็นการคิดค้นส่วนผสมทางเคมีเพื่อให้กลิ่นหอมเหมือนแตง หรือแตงโม (อย่างน้ำหอม Escape ของคาลวินไคลน์) แต่ทำให้ผู้ได้กลิ่นนึกถึงลมเย็นสดชื่นชายทะเล (Acqua di Gio ของจิออร์จิโอ อาร์มานี่ ให้กลิ่นน้ำทะเลที่แฝงความเค็มอยู่ในกลิ่น)

น้ำหอมในทศวรรษ 1990 ต่างเป็นน้ำหอมในแนวกลิ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็น L'Eau d'lssey และ Escape ของ Calvin Klein น้ำหอมเหล่านี้ มีเอกลักษณ์ตรงที่ว่าให้กลิ่นที่พิเศษแตกต่าง ได้กลิ่นปุ๊บก็จำได้ปั๊บ และถ้าไม่รัก ไม่ชอบ คุณก็จะพาลเกลียดน้ำหอมกลิ่นนั้นไปเลย

ตัวอย่างน้ำหอมแนวกลิ่น ozonic

Aramis กลิ่น New West for Her
Calvin Klein กลิ่น Escape
Christian Dior กลิ่น Dune
Elizabeth Arden กลิ่น Sunflower
Issey Miyake กลิ่น L'Eau d'Issey
Kenzo กลิ่น L'Eau par Kenzo
Ralph Lauren กลิ่น Polo Sport Women
Giorgio Armani กลิ่น Acqua di Gio

น้ำหอม Acqua di Gio
น้ำหอม Acqua di Gio

น้ำหอมแนวกลิ่นใหม่

น้ำหอมแนวกลิ่นใหม่

ดังที่กล่าวไว้แล้ว ปัจจุบันน้ำหอมกลายเป็นเครื่องสำอางแฟชั่น ไม่แตกต่างอะไรจากเมคอัพ หรือเสื้อผ้า ไม่น่าแปลกใจที่ทศวรรษสุดท้ายที่ผ่านมา น้ำหอมตระกูลอวกาศจะสอดคล้องกับแฟชั่นแบบอนุนิยม(minimalist) หรือน้อยแต่มาก

ทว่าในช่วง2-3ปีสุดท้าย ก่อนสิ้นศตวรรษนวัตกรรมแห่งความงดงามทางกลิ่นได้ผันผวนกันอีกคราเมื่อบรรดาน้ำหอมยี่ห้อดีไซเนอร์ทั้งหลายกำลังเบื่อหน่ายกับโลกอวกาศ ได้มีการคิดค้นผสมผสานเล่นแร่แปรธาตุเพื่อให้ได้น้ำหอมตระกูลใหม่ๆ ซึ่งเมื่อพิจารณาจริงๆแล้วน้ำหอมเหล่านี้ก็คือลูกหลานเหลนโหลนของ 5 ตระกูลน้ำหอมสำคัญเบื้องต้นนั้นเอง

แนวกลิ่นน้ำหอมสายพันธุ์ใหม่นี้ แยกได้เป็น 2 ลักษณะคือ

1.แนวกลิ่นที่ไม่เคยมีมาก่อน
2.แนวกลิ่นเลียนแบบธรรมชาติ

1.แนวน้ำหอมกลิ่นที่ไม่เคยมีมาก่อน(unprecedented) คือน้ำหอมที่ผ่านการคิดค้นหาสูตรส่วนผสมจากน้ำหอมทั้ง 5ตระกูลเพื่อให้ได้กลิ่นหอมแบบที่คุณอาจไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน เป็นน้ำหอมซึ่งห่างไกลธรรมชาติโดยสิ้นเชิง น้ำหอมแบบนี้มักให้กลิ่นค่อนข้างอบอุ่นไปจนถึงเผ็ดร้อน

เป็นกลิ่นที่ใช้ได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ซึ่งเมื่อโดนผิวกายแล้วจะให้ความรู้สึกแตกต่างกัน บ่อยครั้งที่ได้รับการระบุว่าเป็นน้ำหอมสำหรับผู้หญิง หรือผู้ชายอย่างชัดเจน แต่แนวทางของกลิ่นกลับคลุมเครืออย่างยิ่ง เช่น Le Feu d'Issey ของ Issey Miyake ที่ให้แนวกลิ่น milk amber หรือ Pi ของ Givenchy ที่ให้แนวกลิ่น Woody magnetic เป็นต้น
น้ำหอม Le Feu d'Issey
น้ำหอม Le Feu d'Issey

2.แนวกลิ่นน้ำหอมเลียนแบบธรรมชาติ(re-create nature) คือการหวนสู้ขนบดั้งเดิมแห่งการผลิตน้ำหอม จากที่เคยหลีกเลี่ยง แหวกแนวจำเจ ในที่สุด เพอร์ฟูมเมอร์ก็กลับโหยหาถึงวัยเยาว์ นึกถึงกลิ่นอันคุ้นเคยของคุณแม่ คุณยาย น้ำหอมกลิ่นดอกไม้ หรือกลิ่นใบไม้แบบกลิ่นเดียว บางกลิ่นสกัดน้ำหอมจากแหล่งที่มาของกลิ่นนั้นๆ อย่างเช่นน้ำหอมชุด Aqua Allegoria ของ Guerlain ที่มีกลิ่น Lavender กลิ่น Ylang Ylang เป็นต้น

หรือกลิ่นหอมแบบที่มีอยู่ในธรรมชาติอันเกิดจากการสอดประสานของธาตุกลิ่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลิ่นต้นแบบเลยสักนิด ที่เห็นชัดที่สุดคงเป็น Fragilic ของฌอง-ปอล โกล์ติเยร์ (Jean-Paul Gaultier) ที่รังสรรค์น้ำหอมกลิ่น tuberose ขึ้นมาโดยไม่มีส่วนผสมของกลิ่นจาก tuberose เลนสักนิด รองลงมาคือกลิ่น iris ของ Hermes ที่อาศัยกลิ่นของหน่อ หรือรากของ Iris มาเป็นแนวกลิ่นสำคัญ

น้ำหอม Aqua Allegoria
น้ำหอม Aqua Allegoria

เวทีแห่งน้ำหอม

น้ำหอม หรือเครื่องหอม ถือว่าเป็นอาภรณ์ที่ไร้รูปบนเรือนกาย ดังที่คุณคงได้เข้าใจแล้วว่าน้ำหอมแต่ละกลิ่นที่คณเลือกสรร หรือโปรดปรานนั้น ต่างมาจากตระกูลวงศ์วานแตกต่างกัน ทว่าสิ่งที่เหมือนกันของน้ำหอมทุกกลิ่นนั้นคือ ช่วงชีวิตของน้ำหอม

น้ำหอมแต่ละแนวกลิ่นจะมีช่วงชีวิตเป็นลำดับขั้นพัฒนาการ นั้นคือ ช่วงแรกหรือ top note (บางก็เรียกว่ากลิ่นแรก) เป็นกลิ่นที่มอบความรู้สึกประทับใจ กลิ่นหอมช่วงนี้มีลักษณะอ่อนบาง(หมายถึงระดับความเข้มข้นของเนื้อน้ำหอม ไม่ใช่ลักษณะกลิ่น เพราะน้ำหอมบางกลิ่น top note จะรุนแรงหรือฉุนจัด) ระเหยไปได้อย่างรวดเร็วหลังฉีดพรมลงบนผิวกายและคงลักษณะกลิ่นนั้นอยู่ต่อประมาณ 5-10นาที

โดยทั่วไปหัวน้ำหอมที่ใช้ออกแบบ top notes มักมีแนวกลิ่นเย็น สดชื่น หรือกลิ่นเขียวสะอาด(green) อย่างเช่น ส้ม มะนาว พีช มะกรูด แบล็คเคอร์เร้นท์ กลิ่นใบไม้ และดอกไม้ต่างๆ

เลือกน้ำหอม
เลือกน้ำหอม
ช่วงกลางของน้ำหอมนั้นเรียกว่า middle notes หรือกลิ่นกลางอันหมายถึงหัวใจของน้ำหอม จะบ่งบอกถึงบุคลิคที่แท้จริงของน้ำหอมตามลักษณะแนวกลิ่นที่เป็นอยู่ ช่วงชีวิตนี้จะเนิ่นนานต่อไปได้ 2-4ชั่วโมง ซึ่งมักออกแบบแนวกลิ่นมาจากดอกไม้ ผลไม้เครื่องเทศ อย่างเช่นกุหลาบ มะลิ การ์ดิเนีย ซ่อนกลิ่น กระดังงา หรือลิลลี่ และปิดท้ายด้วยกลิ่นฐานหรือ base notes เป็นกลิ่นที่อบอุ่นที่สุดของน้ำหอม และคงอยู่ได้ยาวนานกว่าช่วงอื่นๆในกลิ่นฐานมักเกิดจากแพ็ทชูลิ ไม้จันทร์ น้ำมันจากไม้หอม musk และอำพัน

นอกจากการพัฒนาของกลิ่นน้ำหอมแต่ละกลิ่นจะเกิดขึ้นบนตัวผู้ใช้น้ำหอมกลิ่นนั้นๆแล้ว น้ำหอมยังก่อให้เกิดปฎิกิริยาต่อผู้ได้กลิ่นตามลำดับขั้นพัฒนาด้วยเช่นกัน ถ้าจะอธิบายตามให้ง่ายขึ้นลองหลับตานึกภาพเวทีแสดงแบบเสื้อ หรือแฟชั่นโชว์ กลไลการออกแบบกลิ่นมักเป็นไปในทำนองเดียวกันนั่นคือ top notes เทียบเท่ากับการเปิดการแสดง หรือการเริ่มต้นกลิ่นหอมจะต้องสร้างความรู้สึกสนใจให้แก่ผู้ได้กลิ่น บทโหมโรงของกลิ่นมักจะเริ่มต้นด้วยความหอมในแนวนี้

middle notes เทียบเท่าเนื้อหาของการแสดง แน่นอน การดึงดูดความสนใจให้ต่อเนื่องดำเนินต่อไปนั้น จะต้องมีลีลาที่เร้าใจหรือเรียกร้องความสนใจจากผู้พบเห็น หรือผู้ได้กลิ่นอย่างยิ่ง เพอร์ฟูมเมอร์ หรือนักออกแบบน้ำหอมสมัยใหม่ ส่วนมากมักจะใช้แนวกลิ่นที่ช็อกผู้ได้กลิ่นหรืออาจเป็นแนวกลิ่นที่ทำให้ได้กลิ่นรู้สึกสะดุดหลังจากอิ่มเอมไปกับกลิ่นแรก แนวกลิ่นนี้จึงเท่ากับการประกาศตัวถึงเนื้อหาของเอกลักษณะบุคลิคแบบฉบับของน้ำหอมอย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้ได้กลิ่นซาบซึ้ง และเข้าใจถึงแก่นสารแห่งน้ำหอมนั้นๆ

base notes เที่ยบเท่ากับ finale หรือแบบเสื้อชุดปิดท้ายการแสดง ต้องสอดคล้องและคงแก่นสารของกลิ่นกลาง สร้างความอบอุ่น ประทับใจให้ตราตรึงแก่ผู้รับชม หรือผู้ได้กลิ่นไปตราบนาน

เวทีที่พึงสร้างสรรค์การแสดงตัวของน้ำหอมบนร่างกายนั้นคือบริเวณจุดชีพจรทั้ง 8จุดอันได้แก่หลังใบหู 2จุด ข้อมือ2จุด ข้อพับแขน 2จุด และข้อพับเข่า 2จุด (บ่อยครั้งที่สองจุดสุดท้ายนี้จะถูกมองข้ามไป เพราะผู้ใช้น้ำหอมอาจสวมกางเกง หรือกระโปรงเสร็จแล้วค่อยฉีดพรมน้ำหอม)

ข้อสำคัญอันพึงใส่ใจเกี่ยวกับการเลือกหากลิ่นน้ำหอมเมื่อพิจารณาจากพัฒนาการของกลิ่นนั้นคือว่า

อย่ารีบซื้อน้ำหอม กลิ่นที่คุณได้รับเมื่อฉีดน้ำหอมในร้านจะไม่เหมือนกลิ่นที่คุณจะได้รับหลังจากสอง หรือห้าชั่วโมงผ่านไป นั้นเป็นเพราะลำดับการแสดงบนเวทีของน้ำหอมกับสภาพผิวเฉพาะของคุณ จะทำให้กลิ่นเปลี่ยนไป ดังนั้น จงอดทน ขอตัวอย่างน้ำหอมที่จะให้คุณนำกลับไปใช้ที่บ้านได้ หรืออย่างน้อย ก็ฉีดน้ำหอมลงบนกระดาษ tester คุณจะไม่เสียใจ การเลือกน้ำหอมก็เหมือนกับการเลือกคู่ คุณคงไม่อยากแต่งแล้วต้องหย่า น้ำหอมก็เหมือนกันแหละคะ ซื้อมาแล้วไม่สบอารมณ์ในภายหลังก็น่าเสียดาย

ส่วนผสมสำคัญของน้ำหอม

ส่วนผสมสำคัญของน้ำหอม

ธรรมเนียมการสร้างสรรค์น้ำหอมสักกลิ่นเวลาเพอร์ฟูมเมอร์ทั้งหลายต้องการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติล้วนๆ พวกเขาจะเสาะแสวงไปทั่วไม่เฉพาะในเขตยุโรป ภูมิประเทศเขตอบอุ่นไปจนถึงเขตร้อนอย่างมอรอคโค, แคว้นซิซิลี, อินเดีย, บราซิล และออสเตรเลีย ได้กลายเป็นดินแดนสำคัญในการผลิตน้ำหอม หรือน้ำมันหอมจากมะลิ, มะนาว, ดอกส้ม, น้ำหอม neroli อันได้จากดอกส้ม, มะกรูด, และไม้จันทน์ ในขณะที่รัสเซีย, บัลแกเรีย และตุรกี จะมีกุหลาบดามาสค์ซึ่งให้กลิ่นหอมอุ่น นุ่มนวลเหมือนแป้ง ลุ่มลึกดุจกำมะหยี่ อย่างไรก็ตาม จะเป็นส่วนผสมชนิดใดย่อมล้วนแต่มีปริมาณจำกัดเสมือนทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ อาจต้องใช้มะลิประมาณ 6-7ล้านดอกเพื่อกลั่นให้ได้น้ำหอมมะลิประมาณหนึ่งกิโลกรัม

และส่วนผสมางอย่างเช่นออร์ริส ซึ่งสกัดได้จากรากของต้นไอริส(ว่ากันว่าราก หรือหัวไอริสสดหนักหนึ่งตันต้องทำให้แห้งสนิทและจะเหลือน้ำหนักเพียง 200กิโลกรัม ผ่านการบดสกัด essence หรือหัวน้ำหอมโดยผ่านกระบวนกลั่นด้วยไอน้ำ จากน้ำหนัก 500กิโลกรัมของหัวไอริสแห้งจะได้หัวน้ำหอมเพียง 1.5กิโลกรัมเท่านั้น
และหัวน้ำหอม1 กิโลกรัม สกัดเป็นไอโรนบริสุทธิ์ได้เพียงแค่ 100กรัม)

ต่อมชะมด (แน่นอนที่ต้องทำฟาร์มชะมด หรือไม่ก็ไปไล่ล่าหาในป่าลึก) ไขปลาวาฬ(อันนี้คงต้องลงทะเลไปไล่จับ นึกภาพเอาเองว่าจะยากขนาดไหน) และซ่อนกลิ่นนั้น มีราคาแพงเยี่ยงทอง เนื่องจากวัตถุดิบเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดหัวน้ำหอม หรือน้ำมันหอมได้เพียงเล็กน้อย อีกทั้งยังเป็นของหายากอีกต่างหาก

ความแตกต่างทางอุณหภูมิ สภาพอากาศ สงคราม สภาพเศรษฐกิจอันสืบเนื่องมาจากการเมือง มหันตภัยธรรมชาติ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญ อันส่งผลกระทบต่อราคาน้ำหอม ภาวะข้าวยากหมากแพงในกลุ่มประเทศตะวันออกทำให้ชนชั้นแรงงานหันกันไปปลูกข้าวมากกว่าจะปลูกแพ็ทชูลีหรือพรรณพฤกษ์หอมอื่นๆ พลเมืองอพยพ แรงงานต่างด้าวที่ผันเปลี่ยนทำให้แรงงานสำหรับการเก็บเกี่ยวนั้นเป็นไปไม่สม่ำเสมอ

น้ำหอมกลิ่นทรงพลังเปี่ยมคุณภาพนั้น บังเกิดมาจากการจัดสรรสมดุลอย่างระมัดระวังของสารหอมสำคัญอันเลอค่าจากมวลดอกไม้ เรซินชนิดต่างๆ เครื่องเทศอำพันหลากประเภท และอื่นๆ ฉะนั้นถ้ามีส่วนผสมอะไรสักอย่างขาดตลาด หรือหาไม่ได้ ไม่เพียงพอต่ออัตราส่วนสูตรผสม การผลิตน้ำหอมให้ได้ตามเป้าอาจจะในแง่คุณสมบัติ หรือปริมาณย่อมขาดตอนการผลิตต้องหยุดชะงักจนกว่าจะมีวัตถุดิบนั้นๆ
น้ำหอม Guerlain nahema
น้ำหอม Guerlain nahema วางจำหน่ายในปี ค.ศ.1979 ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก แคทเธอรีน เดอเอฟ (Catherine Deneuve) กลิ่นหอมเป็นการสอดผสานของเมย์โรสกับกุหลาบดามาสค์ ส่งผลให้ราคาน้ำหอมขึ้นๆลงๆตลอดทุกปีเพราะเป็นผลกระทบจากดอกไม้เหล่านี้ น้ำหอม Joy ของฌอง ปาตู ผลิตมาจากมะลิบริสุทธิ์ และเมย์โรสจากเมืองกราสส์ ซึ่งมีจำนวนจำกัดทั้งสองชนิด เพราะดอกไม้เหล่านี้ทำการเพาะปลูก และเก็บเกี่ยวได้เพียงปีละหนึ่งครั้ง จึงทำให้การผลิต Joy เป็นไปในจำนวนจำกัด ชาแนลเองก็คำนึงถึงปัญหาที่ทั้งสองบริษัทนี้เผชิญ จึงได้ทำสัญญาและทำการลงทุนระยะยาวในการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว รวมถึงซื้อส่วนผสมที่มีคุณภาพสูงไว้ตลอดเพื่อไม่ทำให้ผลผลิตของบริษัทขาดตอนสามารถคงคุณภาพไว้ดังเดิมได้ตลอดเวลา

แน่นอน บริษัทผลิตน้ำหอมใช่ว่าจะคำนึงถึงจรรยาบรรณไปเสียทุกแห่งในแง่ของการใช้ส่วนผสม บางครั้งก็จำเป็นต้องลดต้นทุนการผลิตโดยใช้ส่วนผสมที่มีคุณสมบัติรองลงมา ไม่ใช่ของดีที่สุดเสมอไป อย่างมะลิจากเมืองกลาสส์ ก็กลายเป็นมะลิมอร็อคโค น้ำมันดอกไม้หอมธรรมชาติกลายเป็นสารสังเคราะห์ เคมีภัณฑ์ราคาย่อมเยากว่าเพื่อให้ได้กลิ่นหอมแนวเดียวกัน

หากคุณภาพความเข้มข้นนั้นอ่อนด้อย สภาพเสถียรของกลิ่นไม่คงที่ ปัจจัยสืบเนื่องจากภูมิอากาศ สภาพความเป็นกรดในเนื้อดินที่ใช้เพาะปลูก ความเข้มของแสงแดดที่ส่องต้องกลีบดอกไม้ และอื่นๆทำให้ดอกไม้อย่างเดียวกันที่ปลูกในต่างถิ่นมีกลิ่นหอมต่างกัน

และการตัดสินใจโดยอิงเกณฑ์ทางธุรกิจส่งผลให้ผู้บริหารต้องมองข้ามในเรื่องนี้เพื่อลดต้นทุนการผลิต หรือเพื่อคงปริมาณผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตออกสู่ท้องตลาด การซื้อบริษัทอื่นมาปรับผังโครงสร้างใหม่ มักเป็นตัวโยงไปสู่การลดคุณภาพการผลิตเพื่อช่วยลดต้นทุน ซึ่งผลที่ได้ก็คือผลิตภัณฑ์ที่แย่ โชคดีที่ในทศวรรษ 70 บริษัทที่ถูกกว้านซื้อได้ถูกลดระดับลง และได้รับการฟื้นฟูใหม่ในทศวรรษที่ 80 ให้กลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ขึ้น และดีขึ้นภายใต้จุดมุ่งหมายจะสร้างสรรค์น้ำหอมที่คงคุณภาพดีเทียบเท่าอดีตอันเรืองรอง

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือน้ำหอม Arpege ของลองแวง กับ Fracas ของ โรแบรต์ ปิเกต์ ที่กำลังกลับมารุ่งอีกครั้ง ส่วนผสมราคาแพงยอดนิยมในการผลิตน้ำหอมมักจะเป็นส่วนผสมสำหรับน้ำหอมตระกูลดอกไม้อันได้แก่

1.กุหลาบ
2.มะลิ
3.ไวโอเล็ต
4.เนโรลิ

กุหลาบ

กุหลาบ ราชินีแห่งมลบุปผาที่ได้รับการยกย่องมาแต่โบราณกาล สืบสาวไปได้ถึงยุคโรมันโบราณผู้คิดค้นน้ำกุหราบหรือที่เรียกกันว่า Rose Water ซึ่งชาวอังกฤษในกาลก่อนใช้เป็นน้ำประพรมจรุงกลิ่นหอมให้กรุ่นไอไปทั่วตัวทั้งวันยันกลางคืน ไม่เฉพาะความหอม เลอค่า และความงามของดอกไม้ ในน้ำมันกุหลาบยังแฝงสรรพคุณฆ่าเชื้อโรค และอุดมไปด้วยวิตามินซี กุหลาบที่ดีที่สุดสำหรับการทำน้ำหอมคือ เมย์โรส (ชื่อทางพฤกษศาสตร์ของ MayRose คือ Rosa centifolia)

กุหลาบ ส่วนผสมทำน้ำหอม
กุหลาบ ส่วนผสมทำน้ำหอม
จากเมืองกราสส์ ในตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส และอัฟริกาเหนือ การเก็บกุหลาบจะต้องใช้มือเก็บแต่เช้าตรู่ขณะที่ยังมีน้ำค้างเกาะกลีบ ก่อนแสงแดดแผดเผาความชื้นในกลีบให้ระเหยแห้งอันจะไปรบกวนต่อศักยภาพในการส่งกลิ่น และกุหลาบดามาสส์ (ชื่อทางพฤกษศาสตร์ของ Damask Rose คือ Rosa damascena) เป็นกุหลาบอีกหนึ่งพันธุ์ที่นิยมใช้กันมากในวงการน้ำหอมชั้นสูง ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากตุรกี, บัลแกเรีย, อียิปต์, และรัสเซีย

มะลิ

ส่วนผสมน้ำหอม มะลิ
มะลิ ส่วนผสมน้ำหอม
มะลิ ในวงการน้ำหอมโลกจะต่างจากมะลิไทยในหลายอย่าง มะลิที่ใช้มักจะเป็น Jasminum officinalis หรือ Jusminum grandiflorum ซึ่งบางครั้งดมดูแล้วกลับไม่มีกลิ่น เพอร์ฟูมเมอร์ชาวฝรั่งเศสมักขนานนามมะลิว่าเป็นนิยามที่แท้จริงแห่งมวลดอกไม้ โดยเรียกกันว่า "ลาเฟลอร์" (La Fleur) มะลิฝรั่งเศสจะมีหลากหลายพันธุ์ที่สุด แต่ในอียิปต์ อิตาลี อินเดีย และจีน ก็มีอีกต่างชนิดมากมาย มะลิมีราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้น บ่อยครั้งจึงใช้สารสังเคราะห์ขึ้นมาแทน

เวลาผสมผสานมะลิเข้ากับเมย์ โรส ในสัดส่วนต่างๆกันก็จะให้กลิ่นหอมที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่น ดอกมะลิ 10,000ดอก กับกุหลาบ 28โหลจะผลิตน้ำหอม Joy ของฌอง ปาตู ได้หนึ่งออนซ์

ไวโอเล็ต

ไวโอเล็ต ดอกไม้สีม่วงสุดที่รักในยุควิคตอเรียน ปาร์มา ไวโอเล็ตเป็นดอกไวโอเล็ตที่ดีที่สุดได้มาจากอิตาลีตอนเหนือ น่าแปลกที่น้ำมันหอมหาได้มาจากตัวดอกไม้แต่กลับเป็นใบซึ่งสกัดน้ำมันได้ในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทุกวันนี้ก็เลยใช้สารสังเคราะห์ขึ้นแทน ไวโอเล็ตมีกลิ่นหอมหวาน

ให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มเนียนละมุนดุจแป้ง จึงมักใช้ประสานกับกลิ่นหอมมะกรูด มิโมซ่า ไม้จันทน์ และกุหลาบ กลิ่นหอมของไวโอเล็ตที่ผ่านการรังสรรค์อย่างละเมียดละไม จะให้ความรู้สึกอันงดงาม ไม่ตกสมัย เป็นความคลาสสิคตลอดกาล อย่างเช่น น้ำหอมไวโอเล็ตที่ได้จาก Borsari Violetta di Parma ให้กลิ่นหอมอบอุ่นอ่อนโยน เร้าอารมณ์เช่นเดียวกับน้ำหอม Violetta ของ Penhaligan ความอ่อนโยนประณีตแห่งกลิ่นของไวโอเลตยังเร้นอยู่ในร้ำหอมของชาแนลหมายเลข 19 (Chanel No.19) และ L'Interdit ของ Givenchy

น้ำหอม Chanel No.19
น้ำหอม Chanel No.19

เนโรลิ

เนโรลิ

ส้มเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตน้ำหอม มีessence ที่ได้จากส้มหลายอย่างนัก ไม่ว่าจะเป็นดอกส้ม ส้มมิโมซ่า เปลือกส้มและส้มในแต่ละภูมิภาคก็จะมีชื่อเรียกต่างกัน อย่างเนโรลิ จะเป็นน้ำมันดอกส้ม ซึ่งมักใช้ดอกส้มจากหมู่บ้านเซวิลล์ (Seville) และดอกส้มที่ได้จากตอนใต้ของฝรั่งเศส อิตาลี อียิปต์ และ ตูนิเซีย เนโรลิจะให้กลิ่นหอมสดชื่นอ่อนบางอันคงทน มักใช้ผสมเพื่อสร้างกลิ่นแรกของน้ำหอมนั้นๆ (Top note) แต่ในขณะเดียวกัน เนโรลิ ยังกำจายกลิ่นหอมหวานให้ความรู้สึกเป็นส้มอย่างยิ่ง

จึงทำให้เนโรลิมีบทบาทสำคัญในการผลิต โอ เดอ โคโลญจน์ กลิ่นคลาสสิค ดอกส้ม 1ตัน (1,016กิโลกรัม) จะผลิตน้ำมันได้เพียง 907กรัม หรือ 2ปอนด์ ซึ่งประมาณการไว้ว่าทั่วโลกผลิตดอกส้มได้ไม่เคยเกิน 2 ตันต่อปี

นอกจากนี้ เนโรลิยังมีสรรพคุณในการทำความสะอาด ดอกส้มมักใช้เป็นดอกไม้สำคัญในพิธีแต่งงาน นักสุวคนธบำบัดทั้งหลายยังใช้น้ำมันเนโรลิ ช่วยบำบัดความกดดันทางอารมณ์ คลายความตื่นกังวล

ถ้าคุณต้องการสูดกลิ่นไอหอมของส่วนผสมทั้งสี่ชนิดนี่จริงๆ ได้สัมผัสถึงความรู้สึกแท้จริงของกลิ่นหอม ซึ่งยังไม่ผ่านการสอดผสานกับกลิ่นหอมอื่นใดสักเท่าไหร่ ลองแวะไปที่เคาเตอร์น้ำหอม Guerlain เลือกดูน้ำหอมชุด Aqua Allegoria

ส่วนผสมธรรมชาติ ส่วนผสมสังเคราะห์

ส่วนผสมที่ได้จากธรรมชาติ มีคุณภาพดีนั้นหายาก ราคาแพงซึ่งก็ทำให้น้ำหอมที่ผลิตมาจากวัตถุดิบธรรมชาติล้ำเลิศเหล่านั้นมีกลิ่นหอมเข้มข้น ทรงพลัง สื่อถึงอารมณ์ และเป็นกลิ่นแท้จริงมากกว่าน้ำหอม ซึ่งบังเกิดจากส่วนผสมในห้องทดลอง ผ่านการสังเคราะห์เคมี อีกทั้งน้ำหอมจากส่วนผสมธรรมชาติจะยังทำปฎิกิริยากับผิวของคนเราได้ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม มีการโต้แย้งถกเถียงกันเรื่องส่วนดีส่วนเสียระหว่างส่วนผสมจากธรรมชาติ และส่วนผสมสังเคราะห์ไม่รู้จบ เพราะมีดอกไม้หลายชนิดอย่างลิลลี่ ออฟ เธอะ วัลเลย์ ที่ไม่ขับกลิ่นอันแท้จริงออกมาให้เพอร์ฟูมเมอร์ การสกัดน้ำหอมจากดอกไม้ประเภทนี้เป็นไปได้ยากเย็น ต้องผ่านกระบวนการซับซ้อน ในขณะเดียวกัน มีสารเคมีสังเคราะห์อีกหลายชนิดที่ให้กลิ่นซึ่งเหล่าเพอร์ฟูมเมอร์ต้องเคารพสักการะนำไปเป็นส่วนผสมของน้ำหอมคลาสสิคหลายกลิ่นมากกว่า 100ปี ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สารสังเคราะห์ส่วนใหญ่จะมีราคาถูก บ้างก็สืบสานตำนานผ่านการพัฒนาให้มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ และบางกลิ่นเป็นกลิ่นหอมที่ไม่มีอยู่ในธรรมชาติ

ส่วนผสมสังเคราะห์แบ่งได้เป็น 2ประเภทใหญ่ คือสารสกัด ซึ่งแยกโครงสร้างโมเลกุลของกลิ่นแท้ออกมา เรียกว่าสารประเภท isolate ซึ่งสังเคราะห์มาจากวัตถุดิบธรรมชาติ และอีกประเภทคือสารเคมีสังเคราะห์ในห้องทดลอง ซึ่งมักให้กลิ่นไม่เป็นธรรมชาติ ทว่ากลิ่นเหล่านี้แหละที่เป็นความฝันของเฟอร์ฟูมเมอร์ยุคใหม่ คุณอาจสังเกตเห็นน้ำหอมรุ่นใหม่มักให้กลิ่นอย่างที่คุณไม่เคยพานพบประสบยลมาก่อน นั้นก็เพราะกลิ่นเหล่านั้นไม่ได้มาจากธรรมชาติ แต่มาจากห้องทดลองของนักเคมี น้ำหอมประเภทนี้มักนำเสนอสู่ท้่องตลาดด้วยกลิ่นที่คล้าย ทราย หรือเมฆ หรือลินิน และอื่นๆอีกมากมายที่ฟังดูแล้วเข้ากันกับแนวกลิ่นน้ำหอม ช่วยให้เราได้ก่อกำเนิดเกิดภาพน้ำหอมเป็นตัวเป็นตนขึ้นในมโนภาพ

อย่างน้ำหอมของ Issey Miyake ทั้งสองกลิ่น คือ l'Eau d'Issey ให้ความรู้สึกถึง น้ำ ในขณะที่ Le Feu d'Issey คือกลิ่นหอมของไฟ น้ำหอม Cashmere Mist ของดอนน่า คารานก็เช่นกัน นี่คือกลิ่นที่ทำให้คุณหลับตาเห็นหมอก ในแคว้นแคชเมียร์ หรือบ้างก็ทำให้นึกถึงความอ่อนนุ่มบางเบาแทบไร้น้ำหนักดั่งม่านหมอกของผ้าแคชเมียร์เนื้อดี

แต่ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นที่ได้จากธรรมชาติ หรือห้องทดลอง จงให้จมูกของคุณเป็นตัวตัดสิน ถ้าน้ำหอมนั้นไม่ให้กลิ่นหอมพิสุทธิ์อย่างแท้จริงไม่สดชื่นจับใจให้หลงใหล ก็เชิดใส่ซะ และก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณได้กลิ่นแล้วปวดศีรษะ หรือทำให้ ลูกร้องไห้ได้ คุณได้คำตอบแล้ว!

น้ำหอมแบบอเมริกัน

น้ำหอมแบบอเมริกัน

พอพูดเรื่องน้ำหอมกับผู้หญิงอเมริกัน พวกเธอจะมีแนวความคิดและรสนิยมเป็นของตัวเองเสมอ ตอนที่น้ำหอม Shalimar ของ Guerlain ได้บุกเข้าสู่ดินแดนสหรัฐ ก็ประสบความสำเร็จฉับพลัน ออกจะมากกว่าในยุโรปด้วยซ้ำ ผู้หญิงอเมริกันรักธรรมชาติอันเร้าอารมณ์รุนแรงอย่างอาจหาญของ Shalimar ความเข้มข้นสุดๆของน้ำหอมที่มอบกลิ่นอุ่นอวลจรุงใจเป็นละไอไล้ผิวไปตราบนานอย่างไรก็ตาม Estee Lauder ต่างหากที่เป็นผู้สร้างพลังแห่งการซื้อให้ผู้หญิงอเมริกัน เมื่อเธอนำเสนอน้ำหอม Youth Dew ออกมาในปี ค.ศ.1953

ก่อนหน้านั้นผู้หญิงไม่ได้ตัดสินใจซื้อน้ำหอมเพราะความชอบส่วนตัว ซื้อเพราะหวังว่าตัวเองจะชอบ และกลิ่นนั้นเป็นที่นิยม ซึ่งคงจะเหมาะกับเธอ เอสเต้ ลอเดอร์ เป็นผู้เปลี่ยนทัศนคติในการเลือกน้ำหอม เธอทำให้ Youth Dew น้ำหอมแนวกลิ่น oriental อย่างลึกล้ำ กลายเป็นน้ำมันอาบน้ำที่มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิวพรรณ ซึ่งเป็นที่มาให้แตะแต้มเพอร์ฟูมทรงพลังทางกลิ่นหอมลงบนจุดชีพจรต่างๆ เพื่อกระจายอำนาจแห่งกลิ่น กลยุทธ์ของเธอได้ผล Youth Dew ผลักดันให้ผู้หญิงหันมาเลือกซ์้อน้ำหอมสำหรับตัวเอง

และผลพลอยได้คือเพอฟูมกลายเป็นน้ำหอมประเภทที่แสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงอย่างยิ่ง(ณ ปัจจุบันนี้ ไม่มีน้ำหอมของผู้ชายกลิ่นใดผลิตออกมาในรูปลักษณ์ของเฟอร์ฟูม ประเภทที่เข้มข้นที่สุดสำหรับผู้ชายก็คงได้แก่ โอเดอ เพอร์ฟูม เท่านั้น)

ผู้หญิงยุโรปอาจสุขใจกับการได้ฉีดน้ำหอมกลิ่นโปรดให้พร่างพรมลงบนผิวกายของตนเองวันละหลายๆครั้ง ผู้หญิงอเมริกันกลับต้องการให้น้ำหอมนั้นมีกลิ่นติดทนติดทานนานตะไท เอสเต้ ลอเดอร์ก็เลยผ่าตัดน้ำหอมของเธอให้เกิด โอ เดอ ตัวเลต์ที่มีกลิ่นเข้ม แรง ทรงพลัง อย่างลุ่มลึกตอนที่เธอนำเสนอน้ำหอมกลิ่นใหม่ๆออกมา รวมถึง Cinnabar, Knowing, Estee, Beautiful, Private Collection และ Dazzling มีเพียงน้ำหอม White Linen (ซึ่งให้กลิ่นคล้าย/ชวนให้นึกถึงผ้าลินินลงแป้งสีขาวที่ถูกตากแดด และกำลังแห้งอยู่ภายใต้แสงแดดอุ่น) กับ Pleasures ที่ผลิตออกมาเป็น โอ เดอ ตัวเลย์ อย่างเบาบาง

น้ำหอม Polo Sport Women
น้ำหอม Polo Sport Women
ณ วันนี้ ห้องเสื้ออเมริกันต่างมีน้ำหอมยี่ห้อของตน และมิบบทสำคัญให้แก่น้ำหอมเหล่านั้น Ralph Lauren นำเสนอ Polo Sport Women ออกมาพร้อมกับผลิตภัณฑ์สำหรับเรือนกาย และผลิตภัณฑ์อาบน้ำประจวบเหมาะรับกับวิถีชีวิตอันเร่งรีบแคล่วคล่องของสาวทศวรรษ 90 โดยอาศัยบทพรรณากลิ่นหอมแนวสมุนไพรที่แสดงออกถึงความเป็นพืช

หญ้าสดตัดใหม่กลิ่นสดชื่นนี้ว่าเป็นกลิ่นปลุกเร้าอารมณ์ เสมือนโดลงสระน้ำเย็นชื่นในวันร้อนจัด โต้คลื่นชายหาด และ โดดร่มเป็นหนแรกของชีวิต บรรจุภัณฑ์ก็เรียบง่าย สะดวกใช้ เหมาะแก่การพกพาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหมาะสำหรับสาวๆผู้เลิกงานเสร็จ ก็เดินตรงเข้าห้องออกกำลังกาย กลิ่นหอมเล่า? เป็นกลิ่นหอมแบบไหน? นั้นสำคัญ ล่ะหรือ? นี่คือกลิ่นหอมแห่งวิธีชีวิตของผู้หญิงในทศวรรษที่ 90  แค่นี้ก็พอแล้วที่จะทำให้ซื้อ
น้ำหอม Eternity
น้ำหอม Eternity

ส่วนคาลวิน ไคลน์ ก็ได้ครอบครองตลาดน้ำหอมไปตลอดทศวรรษพอๆกับที่เสื้อผ้าของเขาขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า Obsession ถือเป็นน้ำหอมที่ให้กลิ่นรุนแรงล้ำยุค สาวที่จะใช้ต้องก๋ากั่นมุ่งมั่นทะเยอทะยานอย่างแท้จริง และน้ำหอมกลิ่นนี้ก็แสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงแห่งทศวรรษ 1980 ได้อย่างชัดเจน จึงไม่น่าแปลกใจว่ายอดขายจะพุ่งสูง ส่วน Eternity จะให้กลิ่นหอมอ่อนโยน ทันสมัย เป็น นวัตกรรมแห่งกลิ่นหอมที่หลายคนไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน ส่วน Escape คือน้ำหอมล้ำยุคสุดๆ เป็นน้ำหอมแบบ ozonic คือถ้าคุณได้กลิ่นแล้วไม่รักก็เกลียดไปเลย หลังจากนั้นมาไม่นาน CK One เป็นน้ำหอมที่เขย่าวงการน้ำหอมอีกครั้ง ผนวกกับแรงโปรโมชั่นอันเห็นได้จากโฆษณาทางโทรทัศน์ผ่านช่อง MTV และกลิ่นหอมสบายๆที่ทรงพลังพอจะดึงดูดวัยรุ่นผู้ไม่เคยสนใจน้ำหอมให้หันมาควักกระเป๋าเงินกันได้

ล่าสุดน้ำหอมกลิ่น Truth คือกลิ่นที่จะทำให้อารมณ์รัณจวนป่วนพิศวาสของคุณกลายเป็นจริง

น้ำหอมกับระดับอารมณ์

น้ำหอมกับระดับอารมณ์

น้ำหอมกับระดับอารมณ์
น้ำหอมกับระดับอารมณ์
เคยมีคนถามมาริลิน มอนโรว่าเวลานอนเธอใส่อะไร เธอตอบว่า "เวลาฉันนอน ฉันใส่แต่ Chanel No.5" และคงต้องขอยกคำพูดของ ฌอง-ปอล เกอร์แลงมาช่วยขยายอรรถว่า "เวลาผู้หญิงอยู่ในความมืด เธอจะเหลืออะไร? เวลาที่เธอปลดเลปื้องซึ่งอาภรณ์ทั้งปวง ยามที่เรามองไม่เห็นใบหน้าของเธอ การแต่งหน้าของเธอ ไม่ได้เห็น เรือนผมสลวย ดวงตาอันงดงาม ยามที่เธอถอดเครื่องประดับออก เหลืออะไรทิ้งไว้ให้เราเห็นนอกจากความมืด? ก็เหลือแค่เสียงเสนาะและกลิ่นน้ำหอมของเธอ"

คงไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ ถ้าจะบอกว่าน้ำหอมส่วนใหญ่จะถูกมองว่าเป็นโยงใยถึงอารมณ์ปรารถนา ความละเมียดละไมทางเพศ ความรู้สึกรัญจวนใจ เวลาที่คุณรักใครสักคน คุณจะรักที่กลิ่นกายของเขา และจำแนกคนที่คุณรักได้แม้อยู่ในห้องมืด โดยอาศัยกลิ่น หรือกระทั่งยามแออัดยัดเยียดเบียดกันอยู่ในลิฟท์ เวลาเธอฉีดน้ำหอม เราก็ต้องการให้คนอื่นๆชื่นชมในกลิ่นนั้นด้วย และคุณผู้หญิงทั้งหลายคงปฎิเสธไม่ได้เต็มปากนักหรอกว่า เวลาคุณจะออกเดทกับหนุ่มสักคนก็ต้องฉีดน้ำหอม หมายให้กลิ่นหอมที่อวลผสมกลิ่นกายกำจายไออุ่นประทับใจพ่อหนุ่มให้เขาเกิดอาการจิตประหวัดรัดรึงตรึงพิศวาสมิคลาดคลาย

และกลิ่นที่จะผสานเพิ่มอานุภาพแห่งน้ำหอมนั้น (จะว่าไป น้ำหอมต่างหากที่จะมาช่วยเน้นอานุภาพของกลิ่นนี้) นั้นคือกลิ่นกาย (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า กลิ่นตัว) ซึ่งแต่ละคนล้วนมีกลิ่นแตกต่างกัน เกิดจากสารเคมีลึกลับที่ร่างกายเราหลั่งออกมาเรียกว่า ฟีโรโมน( Pheromones ) นี่คือสารฮอร์โมนที่หลั่งออกมาอยู่ในชั้นผิว สามารถระเหยออกมาจากผิวให้กรุ่นกลิ่นไอตลอดเวลา ก่อให้เกิดกลิ่นเสน่ห์ (อย่างที่คนโบราณเรียกว่า สาบสาว หรือสาบบุรุษนั้นหละค่ะ) 

มีการทำวิจัย และค้นพบว่าผู้หญิงชอบผู้ชายที่เธอรู้สึกว่ามีกลิ่นกายคล้ายกลิ่นเธอ ในทางกลับกัน ผู้ชายก็คิดเช่นนั้นกับผู้หญิง ดังนั้นเวลาคุณรักใคร ปิ๊งใคร อย่างคลั่งไคล้ อย่ากังขาเลยว่าหนึ่งในพลังดึงดูดนั้นย่อมมาจากฟีโรโมน และถ้ารู้จักใช้น้ำหอมที่เหมาะกับตัวเอง นั้นคือตัวเร่งปฎิกิริยาได้อย่างดี

มาถึงตอนนี้ คงพอสรุปได้ว่ากลิ่นหอม คือการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทางเพศอย่างหนึ่ง ทว่ากระบวนการตัดสินใจในการเลือกน้ำหอมกลิ่นใหม่ของเรามักไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย บ่อยครั้งที่เราซื้อน้ำหอมสักกลิ่นนั้น เป็นเพราะน้ำหอมนั้นเป็นน้ำหอมกลิ่นใหม่ เราชอบโฆษณา และกลเม็ดทางการตลาด หากไม่ใช่เพราะน้ำหอมกลิ่นนั้นเซ็กซี่จริงๆ เป็นสิ่งที่งดงามและเซ็กซี่เกี่ยวกับน้ำหอมนั้น จริงๆแล้วไม่ใช่ภาพลักษณ์ของน้ำหอมสูตรส่วนผสมหรือกลิ่นหอมที่อยู่ในขวด แต่เป็นเหตุผลที่ว่าน้ำหอมนั้นให้กลิ่นอย่างไรเวลามาอวลไออยู่บนผิวของคุณเป็นเวลาหลายๆชั่วโมงและพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามระบบเคมีสารของร่างกาย น้ำหอมในยุคใหม่อันทันสมัยมีความเข้มข้น ซึ่งจะไม่เปลี่ยนกลิ่นไปตามกาลเวลา

หรือพอฉีดพรมลงบนผิวของผู้หญิงต่างบุคลิคกัน ก็จะส่งกลิ่นที่เน้นเอกลักษณ์ของกลิ่นน้ำหอมเองมากกว่าเน้นซึ่งความเป็นแบบฉบับของผู้หญิงคนนัั้ั้นๆ ถ้าคุณต้องการน้ำหอมกลิ่นเซ็ฏวี่สะท้านใจ จงเลือกน้ำหอมกลิ่นที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติอย่างสูง เพราะนั้นจะให้ความอบอุ่นกรุ่นไอไล้ผิวได้อย่างกลมกลืนกว่าน้ำหอมที่ใช้ส่วนผสมสารสังเคราะห์ โรฌา โฟ แห่ง Guerlain กล่าวไว้ว่า

"คนเราแต่ละคนจะมีกลิ่นกายตามธรรมชาติเป็นของตัวเอง เมื่อกลิ่นนี้ผสมกลมกลืนกับน้ำหอมคุณภาพสูงซึ่งผลิตมาจากวัตถุดิบธรรมชาติ คุณก็จะได้กลิ่นที่สาม กลิ่นซึ่งทำให้คุณมีเอกลักษณ์แตกต่างจากคนอื่นๆ ถ้าคุณเลือกเฟอร์ฟูมที่ใช้ส่วนผสมเคมี สารเคมีเหล่านั้น ถ้าไม่กลบกลิ่นธรรมชาติของคุณไป ก็คงจะตีกับกลิ่นกายของคุณ"

น้ำหอมจะให้กลิ่นเร้าอารมณ์ที่สุดเมื่อกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกลิ่นกายผู้หญิงนี่คงยกให้คนฝรั่งเศสผู้เก่งกาจในการออกแบบกลิ่นน้ำหอมที่เซ็กซี่จริงๆ ด้วยการทำให้น้ำหอมแนว Floral ที่แสนบริสุทธิ์งดงามต้องเจือไปด้วยส่วนผสมบางอย่างที่ให้กลิ่น เร่าร้อนรุนแรง ลงไปอย่างเช่นชะมด หรือไขปลาวาฬ อย่างตอนที่ กี โบแบรต์ ทำน้ำหอม Caleche ให้ Hermes ในปี ค.ศ.1960 เขาอยากให้น้ำหอมมีกลิ่นเป็น เตียงวิวาห์ คือให้ความรู้สึกสบายๆ เซ็ฏซี่ อบอุ่นกรุ่นตัณหา และชวนให้น่าสนุก ซึ่งก็ได้ผล เพราะ Caleche กลายเป็นน้ำหอมที่ใช้ได้ง่ายมีกลิ่นสบายๆ ไม่รุนแรง หรือชวนให้ตื่นเต้น กลิ่นนี้จะไม่ทำให้คุณเหนื่อยใจ หากจะอบอุ่นเร้าอารมณ์อย่างไม่น่าเชื่อ

น้ำหอมกับระดับอารมณ์
น้ำหอมกับระดับอารมณ์


น้ำหอมกลิ่นเซ็กซี่สุดคลาสสิคกลิ่นอื่นๆจากตำรับฝรั่งเศสขนาดแท้ และดั้งเดิมมี

Annick Goutal กลิ่น Passion
Caron กลิ่น Fleur de Rocaille
Chanel กลิ่น Coco
Guerlain กลิ่น Chamade, Mitsouko และ Shalomar
Guy Laroche กลิ่น Fidji
L'Artisan Parfumeur กลิ่น Mure et Musc
Robert Piguet กลิ่น Fracas

น้ำหอมกลิ่นเก่าในสูตรใหม่

น้ำหอมกลิ่นเก่าในสูตรใหม่

เมื่อถึงปลายทศวรรษที่ 80 แฟชั่นในการใช้น้ำหอมเริ่มเปลี่ยนไปพร้อมกับการบังเกิดกลุ่มลูกค้าใหม่ นั้นคือกลุ่ม next generation กลุ่มวัยรุ่นผู้มีพลังซื้อในการช้อปปิ้ง กลุ่มผู้ที่ได้รับการศึกษา มีหน้าที่การงานกำลังก้าวขึ้นมาเป็นยัปปี้ และกลุ่มฮิป กลุ่มคนผู้อยากก้าวกระโดดไปให้พ้นจากความหรูหราคลาสสิค ลักษณะนิสัยที่ใส่ใจในบุคลิคของตนมากกว่าจะทำตามความนิยม ผู้หญิงแห่งยุค 80 เองก็ต้องการความมั่นใจ และสภาพปัจจุบันเป็นตัวกระตุ้น ส่งผลให้น้ำหอมบางกลิ่นอย่าง Poison ของ คริสเตียน ดิออร์ หรือ Samsara ของเกอร์แลงอาจให้กลิ่นเขย่าขวัญผู้ได้กลิ่น

น้ำหอมยุคใหม่ในช่วงเวลานั้น จะถูกออกแบบมาให้มีลักษณะเป็น "น้ำ-หอม" (คือน้ำที่มีกลิ่นหอม) หรืออาจใช้น้ำหอมกลิ่นเดิม หากปรับส่วนผสมให้มีกลิ่นอ่อนบางลง นุ่มนวลขึ้น ไม่ฉุนเฉียวจัดจ้าน หากยังคงคุณสมบัติแนบสนิทติดทนนาน ซึ่งปัจจุบัน กลายเป็นน้ำหอมทันสมัยแห่งต้นสหัสวรรษที่3 ไปเสียแล้ว

Cacharel กลิ่น Eau d'Eden
Christian Dior กลิ่น Tendre Poison
Guerlain กลิ่น Un Air de Samsara
Giorgio Armani กลิ่น Aqua di Gio

น้ำหอม Eau d'Eden
น้ำหอม Eau d'Eden

น้ำหอม exclusive

น้ำหอม exclusive

เราได้กล่าวถึงน้ำหอมหลายยี่ห้อ ซึ่งล้วนแต่เป็นน้ำหอมชั้นสูง น้ำหอมดีไซเนอร์ น้ำ้หอมตลาดกลาง น้ำหอมจากห้องเสื้อซึ่งล้วนแล้วแต่ทุ่มทุนสร้างทางการตลาดเป็นเงินหลายล้าน แต่ยังมีบริษัทน้ำหอมอีกประเภทหนึ่งซึ่งไม่ควรมองข้าม บริษัทน้ำหอมแบบนี้จะขายผลิตภัณฑ์แบบ exclusive คือพิเศษเฉพาะ มีกลิ่นหอมที่ไม่เหมือนใคร ไม่เน้นด้านการตลาดเพื่อขายปริมาณมาก หากเป็นน้ำหอมที่เน้นเรื่องการขายคุณภาพ และแน่นอน น้ำหอมเหล่านี้จะมีราคาแพงเป็นพิเศษด้วยการันตีว่าคุณจะมีกลิ่นกายไม่เหมือนใคร

ซึ่งถ้าคุณได้กลิ่น หรือได้ลองใช้ คุณก็คงต้องยอมรับว่ากลิ่นหอมเหล่านี้เลอค่าสมราคาสูงเลิศจริงๆ

น้ำหอม
น้ำหอม
ผู้เขียนเองเคยได้สัมผัสกับกลิ่นน้ำหอมของ Annick Goutal หนึ่งในบริษัทน้ำหอม exclusive เหล่านี้เมื่อครั้งที่ไปพักในโรงแรม เดอ คริยอง กรุงปารีส ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในห้องน้ำของโรงแรมอย่างสบู่ แชมพู โลชั่น ได้สั่งทำเป็นพิเศษเพื่อลูกค้าพิเศษของโรงแรม และบริษัทอะไรจะบ่งบอกได้ถึงความเป็นฝรั่งเศส ปารีสขนาดแท้เท่ากับ Annick Goutal และสร้างความรู้สึก exclusive สมกับเป็นลูกค้าโรงแรมแห่งนี้ได้เท่ากับ Annick Goutal ขอบอก...ครั้งแรกที่ได้กลิ่นถึงกับพิศวงและชื่นชอบ เพราะให้กลิ่นหอมสดชื่น เย็น แต่ก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจได้อย่างน่าประหลาด

คงไม่แปลกใจถ้าคุณไม่เคยได้ยินชื่อยี่ห้อน้ำหอมเหล่านี้ เพราะราคาที่แสนแพงบนแนวทางการตลาดแบบลึกลับ ไม่คิดแสวงหาการขยายตลาดต่างประเทศกันสักเท่าไหร่ แทบจะไม่มีการวางห้าง หรือเลือกสรรห้างที่จะวางจำหน่าย รวมถึงเลือกประเทศด้วยเกณฑ์สารพัด บริษัทเหล่านี้คือ

Annick Goutsl แ่ต่ละกลิ่นล้วนหอมยวนใจ สดชื่นรื่นรมย์ เป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์ ได้กลิ่นครั้งเดียวก็ตราตึงซึ้งใจมิลืมเลือน กลิ่นคลาสสิกของน้ำหอมนี้คือ Eau de Hadrian และ Grand Amour

Caron เป็นบริษัทน้ำหอมที่โด่งดังมาแต่โบราณกาล เรียกได้ว่าน้ำหอมกลิ่น Royal Bain de Champaign ซึ่งใกล้จะเป็นวัตถุโบราณคู่กรุงปารีสนั้น ให้กลิ่นเหมือนคุณลงไปนอนอาบน้ำอยู่ในอ่างแชมเปญอย่างดี

Creed ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1760 เป็นบริษัทที่ใช้แต่ส่วนผสมธรรมชาติที่ประณีต วิจิตรที่สุด จะล้ำเลิศแค่ไหนก็คิดดูเอาเองว่า Fleurissimo  เป็นน้ำหอมที่ Grace Kelly ใช้ในวันแต่งานของเธอ

Jo Malone เป็นเฟอร์ฟูมเมอร์อังกฤษหัวทันสมัยที่เพียรสรรค์สร้างนวัตกรรมแห่งโลกน้ำหอม และกลายเป็นกลิ่นคลาสสิคทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Lime, Basil และ Mandarin ในขณะที่ French Lime Blossom กับ Red Roses ก็ให้กลิ่นสุดวิเศษ

L'Artisan Perfumeur เป็น Haute Perfume กึ่ง Nouvelle Perfume อันหมายถึงน้ำหอมชั้นสูงตามขนบดั้งเดิมแบบฝรั่งเศสผสมผสานกับน้ำหอมสมัยใหม่ล้ำยุค เพราะบริษัทน้ำหอมฝรั่งเศสแห่งนี้ ชอบที่จะหักล้างขนบต่างๆในการทำน้ำหอมของแต่ละยุค ไม่น่าแปลกใจที่น้ำหอมแต่ละกลิ่นจะให้กลิ่นแปลกประหลาด มหัศจรรย์ (ชนิดที่ว่า Le Feu d'Issey หรือ Pi เทียบไม่ติด) อย่างเช่น Premier Figuier และ Dzing

น้ำหอมคลาสสิกแห่งศตวรรษ

น้ำหอมคลาสสิกแห่งศตวรรษ

เมื่อน้ำหอมกลายเป็นแฟชั่น ย่อมไม่แปลกอะไรที่น้ำหอมบางกลิ่นบางยี่ห้อจะกลายเป็นน้ำหอมสุดคลาสสิก นอกจากจะเป็นน้ำหอมเอกลักษณ์ประจำตัวแล้ว กลิ่นหอมของน้ำหอมเหล่านี้ก็ยังคงตราตรึงซึ้งใจให้ความประทับใจแก่ผู้ได้กลิ่น ได้รับความชื่นชมมิรู้คลาย นี่คือน้ำหอมคลาสสิกซึ่งคงความนิยมไม่ผันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ด้วยกลิ่นที่ให้ความรู้สึกใหม่ ทันสมัย น่าตื่นเต้น และเร้าอารมณ์ และคุณสมบัติสำคัญของน้ำหอมกลิ่นคลาสสิกนั้นคือน้ำหอมกลิ่น คร่าหัวใจ ไม่ว่าวันปีจะผ่านไปแค่ไหน หากความหอมของน้ำหอมเหล่านี้ยังยืนยง ไม่ตกสมัย แต่ละกลิ่นได้รับการออกแบบผลิตขึ้นมาอย่างงดงามด้วยส่วนผสมทรงคุณสมบัติ กลิ่นหอมเหล่านี้ก่อกำเนิดอัญมณีแห่งวงการน้ำหอมที่คุณพึงมีติดโต๊ะแต่งตัวไว้อย่างน้อยสักหนึ่งกลิ่น

รายชื่อน้ำหอมคลาสสิกแห่งศตวรรษที่ 20 (จัดอันดับโดยนิตยสาร Vogue)


Cacharel กลิ่น Anais Anais
Chanel กลิ่นอะไรก็ได้
Guerlain กลิ่นอะไรก็ได้
Christian Dior กลิ่น Diorissimo
Guy Laroche กลิ่น Fidji
Jean Patou กลิ่น Joy
Lancome กลิ่น Tresor
Lanvin กลิ่น Arpege
Thierry Mugler กลิ่น Angel
Nina Rici กลิ่น L'Air du Temps

น้ำหอม Anais Anais
น้ำหอม Anais Anais


กลเม็ดกับการใช้น้ำหอม

กลเม็ดกับการใช้น้ำหอม

กลเม็ดกับการใช้น้ำหอม
กลเม็ดกับการใช้น้ำหอม

มีคนบางคน หรืออาจจะหลายคนก็ได้ที่มีความจงรักภักดีต่อกลิ่นน้ำหอม ที่เขา หรือเธอใช้อยู่ นั้นถือเป็นความรักใคร่ในน้ำหอมกลิ่นนั้น เพราะน้ำหอมมีส่วนผสมที่ลงตัวกับเคมีสารในผิว ให้ความรู้สึกที่เข้ากับบุคลิกของเรา เป็นน้ำหอมของเราที่ช่วยเน้นให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของความเป็นเรา

โดยทั่วไป คนที่มีกลิ่นประจำตัว หรือน้ำหอมประจำตัว จะมีกลิ่นที่ต้องซื้อประจำติดตั้งสถิตบนโต๊ะเครื่องแป้ง ดุจเป็นสิ่งสักการะแห่งความงามหนึ่งกลิ่น และอาจมีกลิ่นอื่นอีกสักสองสามกลิ่นไว้เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้จำเจ แต่อย่างไรก็ตาม เวลาฉีดน้ำหอม มือก็จะไพล่ไปหากลิ่นประจำเรื่อยไป

แล้วเกิดอะไรขึ้นถ้าจู่ๆน้ำหอมกลิ่นนั้นเกิดขาดตลาด บริษัทเลิกผลิต ไม่มีวางจำหน่ายอีกต่อไป

"มันเหมือนกับโดนสามีทิ้ง" เพื่อนสาวคนหนึ่งบ่น "เป็นอะไรที่แน่มาก เพราะฉันใช้แต่น้ำหอมกลิ่นนี้กลิ่นเดียว แล้วจู่ๆ ก็ไม่มีมาขายเมืองไทย"

ใช่แล้ว เริ่มต้นบทนี้ด้วยการว่าถึงเรื่องการเปลี่ยนกิล่นน้ำหอมประจำตัว

จะทำอย่างไรดีถ้าต้องเปลี่ยนกลิ่น?


จากความคิดเห็นของ Karen Hawksley อย่าเริ่มโดยไม่มีอะไรเป็นบรรทัดฐานเลย จงหาน้ำหอมที่ให้กลิ่นใกล้เคียงกับความรักครั้งเก่า ถามตัวเองว่าน้ำหอมกลิ่นเดิมเป็นน้ำหอมตระกูลกลิ่นอะไร แนวกลิ่นไหน มีส่วนผสมอะไร ในแนวกลิ่นนั้นที่ทำให้คุณติดใจ ฝังใจ เริ่มต้นจากจุดนี้ ไม่ใช่เดินเข้าไปในแผนกน้ำหอม แล้วก็ต้องมนตราของน้ำหอมใหม่ๆ ที่ประโคมฉีดตัวอย่างให้คุณ ดมน้ำหอมกลิ่นใหม่ทุกกลิ่นที่เพิ่งวางตลาด

เริ่มจากหาตระกูลน้ำหอมที่คุณชอบเป็นอันดับแรก แล้วค่อยลองน้ำหอมใหม่ที่อยู่ในตระกูลนั้น เปิดนิตยสารดูรายละเอียดต่างๆของน้ำหอมใหม่ จะช่วยให้คุณเข้าใจได้ง่าย และดีกว่าฟังพนักงานขาย อย่ารีบร้อย เพราะน้ำหอมก็เหมือนความรัก เพราะบางครั้งอยู่เฉยๆ ความรักก็ลอยมา

ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดก็จากตัวผู้เขียนเองนี่หละ เผอิญเกิดมาโชคดีที่ผิวเข้ากับน้ำหอมได้หลายแนวกลิ่น ฉีดกลิ่นไหนก็หอม และกลิ่นที่เข้ากับผิว ก่อให้เกิดรัศมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์แก่ตัวเองที่สุดคือ Ricci Club ของ Nna Ricci ซึ่งเป็นน้ำหอมแนวกลิ่นอบอุ่น สดชื่น(Floral-Oriental) และโชคดีซ้ำสองที่มีเพื่อนทำงานอยู่ที่บริษัท Nina Ricci ในกรุงปารีส เวลาเดินทางไปทำงานที่นั้นเพื่อนก็จะเหน็บมาให้ แต่ผู้เขียนก็มีน้ำหอมกลิ่นสำรองอีก 2-3กลิ่นไว้ใช้ เวลาอยากจะได้ความรู้สึกใหม่ๆ อย่างเช่นน้ำหอมของ Versace หรือ Salvadore Dali ในขณเดียวกัน ก็มีบ้างที่ Racci Club หมด และยังไม่ได้ไปปารีส ก็จะลองหากลิ่นใหม่ที่มีแนวคล้ายกัน แต่ให้ความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไปมาใช้ อย่างน้ำหอม Element ของ Hugo Boss หรือ Jean-Paul Gaultier

ในที่สุด วันดีคืนดีก็เปลี่ยนงาน ไม่ได้บินไปปารีสเหมือนแต่ก่อนคงเหลือแค่ Gaultier ที่มีขายในประเทศไทย แต่กลิ่นก็หวานเกินไปนิด

เพื่อนคนหนึ่งกลับมาจากอเมริกา รู้เรื่องเข้าก็แนะว่ามีน้ำหอมกลิ่นหนึ่งเป็นน้ำหอมที่ออกจะคลาสสิก แต่น่าเหมาะกับผู้เขียน นั้นคือ Platinum Egoiste ของ Chanel ก็เลยวิ่งไปลองพิสูจน์กลิ่น และค้นพบว่านี้คือความรู้สึกเดิมในรูปลักษณ์ใหม่ที่แสดงออกถึงความเป็นตัวเองอย่างดี

กลิ่นฉบับความลับบนเรือนกาย

กลิ่นฉบับความลับบนเรือนกาย


ถึงแม้น้ำหอมคุณภาพทั้งหลายจะใช้ส่วนผสมเลอค่าจากธรรมชาติ เพื่อให้ได้กลิ่นที่แตกต่างกันไปบนผิวกายของผู้หญิงแต่ละคน ผู้หญิงอีกหลายคนก็อยากได้อะไรบางอย่างที่ค่อนข้างจะเป็นเอกลักษณ์ กลิ่นน้ำหอมที่คนได้กลิ่นติดใจ และสงสัยว่ากลิ่นอะไร พวกเขาต้องใช้เวลานึก ไม่ใช่ดมปุ๊บรู้ปั๊บว่านี้คือกลิ่นอะไร เธอต้องการได้น้ำหอมที่มีกลิ่นเป็นแบบเอกลักษณ์เฉพาะ ในขณะเดียวกันก็ควรเป็นน้ำหอมที่มีชื่อเสียง หากไม่ใช่ลงโฆษณากระหน่ำเสียจนใช้กันเกลื่อนทั่วบ้านทั่วเมือง

ถ้าคุณต้องการน้ำหอมกลิ่นพิเศษเหล่านี้จริงๆผู้เขียนขอแนะนำให้สรรหากระเสือกกระสนดั้นด้นไปกว้านซื้อน้ำหอม exclusive มากักตุนไว้ใช้ถึงจะดี ทีนี้คุณอยากได้น้ำหอมกลิ่นอะไรเล่า?

Annic Goutal กลิ่น Grand Amour และ Eau de Camille,
Bulgari กลิ่น Eau Perfume
Chanel กลิ่น Christalle

Chanel "boutique"  Fragrance คือน้ำหอมที่มีขายเฉพาะในบูติกของชาแนลที่ถนนกัมบอง กรุงปารีส นั้นคือกลิ่น Bois des Lles และ Cuir de Russie

Creed กลิ่น Fleurissimo
Clinique กลิ่น Aromatic Elixir
Estee Lauder กลิ่น Private Collection และ Estee
L'Artisan Perfumeur กลิ่น Mimosa Pour Moi
Shiseido กลิ่น Feminite du Bois
Sisley กลิ่น Eau de Compaign และ Eau de Soir

น้ำหอม Aromatic Elixir
น้ำหอม Aromatic Elixir